ปฏิทิน
แผนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คำขวัญวันครู...พ.ศ.2522 - ปัจจุบัน
คำขวัญวันครู...พ.ศ.2522 - ปัจจุบัน
การจัดงานวันครูอันที่จริงมีมานานแล้ว ตั้งแต่ 16 มกราคม 2500 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน 2499 แต่เริ่มจัดให้มีคำขวัญเกี่ยวกับงานวันครูเมื่อไม่นานมานี้เอง แรกๆก็เป็นคำขวัญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา) ต่อมาก็เป็นคำขวัญของบุคคลทั่วไปที่ส่งเข้าประกวด ซึ่งพอจะรวบรวมได้ดังนี้
พ.ศ. 2522 - การให้การศึกษาแก่คนในชาติ เป็นกระบวนการที่ต้องทำต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงต้องระดมสรรพกำลังหลาย ๆ ด้านมาช่วยเหลือการศึกษา ปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ ครูซึ่งจะเป็นผู้ผลักดันให้ทุกอย่างไปสู่เป้าหมายได้ ฉะนั้นท่านทั้งหลายคงตระหนักถึงหน้าที่อันมีเกียรตินี้ ในโอกาสที่วันสำคัญอย่างยิ่งของครูได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าในนามของกระทรวงศึกษาธิการและประธานอำนวยการคุรุสภา ขอส่งความปรารถนาดีและความระลึกถึงเพื่อนครูทุกท่าน ทั้งนอกและในราชการขอจงประสบแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วกันและขอได้โปรด ตระหนักถึงหน้าที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของครูที่ดีสืบไป
เจ้าของคำขวัญ นายแพทย์บุญสม มาร์ติน
พ.ศ. 2523 - เป็นครูต้องยึดถือคุณธรรมของครู
เจ้าของคำขวัญ ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์
พ.ศ. 2524 - ครูที่แท้ต้องทำแต่ความดี ประพฤติปฏิบัติในระเบียบแบบแผนอันสมควรกับเกียรติภูมิของตน มีความรักในลูกศิษย์และอบรมปัญญาให้ลูกศิษย์มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวิชาการ ความฉลาดรอบรู้ในเหตุและผล ทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และทางด้านพลานามัย
เจ้าของคำขวัญ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัตฃ
พ.ศ. 2525 - ครูนั้น สังคมยกย่องนับถือว่าเป็นปูชนียบุคคล ทั้งนี้เพราะว่าครูเป็นผู้เสียสละ ยึดมั่นในคุณงามความดี และความถูกต้อง จึงขอให้รักษาความดีนี้ตลอดไป
เจ้าของคำขวัญ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์
พ.ศ. 2526 - อนาคตของเด็กไทย อยู่ที่ความเอาใจใส่ของครูทุกคน
เจ้าของคำขวัญ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์
พ.ศ. 2527 - ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2527 ผมขอให้เพื่อนครูที่รักทั้งหลายและสมาชิกคุรุสภาทุกท่าน ประสบความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สัมฤทธิ์ผลอันพึงปรารถนาตลอด
เจ้าของคำขวัญนายชวน หลีกภัย
พ.ศ. 2528 - การที่บุคคลหนึ่งจะดำรงชีวิตได้อย่างดีนั้นมิใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะผู้เป็นครูมีแนวปฏิบัติที่ยากยิ่ง เป็นสิ่งน่าเห็นใจที่ครูจะต้องปฏิบัติโดยยึดถือความดีมีคุณธรรมระดับสูงกว่าบุคคลทั่วไป แต่ก็น่าภาคภูมิใจเมื่อครูผู้ปฏิบัตินั้น ได้รับความเชื่อถือ ศรัทธา และยอมรับจากสังคมมากขึ้น จึงขอให้เพื่อนครู ทุกท่านปฏิบัติตนด้วยความเสียสละ อดทน ยึดถือความดี มีคุณธรรมเพื่อจะบังเกิด ผลดีแก่ตนเอง ชุมชน และประเทศชาติสืบไป
เจ้าของคำขวัญนายชวน หลีกภัย
พ.ศ. 2529 - ครูคือผู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่าต่อการพัฒนาชาติให้ก้าวหน้า และอยู่รอดปลอดภัย
เจ้าของคำขวัญ นายชวน หลีกภัย
พ.ศ. 2530 - ครูดีมีวินัย และคุณธรรม ย่อมน้อมให้เยาวชนเป็นพลเมืองดี
เจ้าของคำขวัญ นายมารุต บุญนาค
พ.ศ. 2531 - ครูเป็นผู้สร้าง ครูเป็นผู้ให้ความหวัง ครูเป็นพลังให้ศิษย์เป็นคนดี
เจ้าของคำขวัญ นายมารุต บุญนาค
พ.ศ. 2532 - ครูดี มีจรรยา มุ่งค้นคว้าเพื่อพัฒนาเด็กไทย
เจ้าของคำขวัญ พลเอกมานะ รัตนโกเศศ
พ.ศ. 2533 - ครูคือผู้อุทิศทั้งชีวิตและจิตใจ ส่งเสริมเพิ่มพูนให้เยาวชนเป็นคนดี
เจ้าของคำขวัญ พลเอกมานะ รัตนโกเศศ พ.ศ. 2534 - ครูคือผู้สร้างสรรค์ให้เยาวชนของชาติเป็นพลเมืองดี
เจ้าของคำขวัญ พลเอกมานะ รัตนโกเศศ
พ.ศ. 2535 - ครูคือ ผู้ให้ ผู้สร้าง ผู้พัฒนา และผู้นำเยาวชนของชาติ
เจ้าของคำขวัญ ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์
พ.ศ. 2536 - ครูคือนักพัฒนา และรักษาสิ่งแวดล้อม
เจ้าของคำขวัญ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร
พ.ศ. 2537 - ครูคือ ผู้มีคุณธรรม ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี
เจ้าของคำขวัญ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร
พ.ศ. 2538 - อุทิศเวลา รักษาคุณธรรม ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี
เจ้าของคำขวัญ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร
พ.ศ. 2539 - ครู เป็นหัวใจของการพัฒนาคน
เจ้าของคำขวัญ นายสุขวิช รังสิตพล
พ.ศ. 2540 - ครูสร้างศิษย์ ด้วยมิตรและนำใจ ครูคือผู้ให้ เพื่อเยาวชนไทยได้พัฒนา
เจ้าของคำขวัญ นายสุขวิช รังสิตพล พ.ศ. 2541 - ครูเป็นผู้นำทางปัญญา ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี
เจ้าของคำขวัญ นายชุมพล ศิลปอาชา พ.ศ. 2542 - ครูเป็นผู้เบิกทางแห่งปัญญา เจ้าของคำขวัญ นายปัญจะ เกสรทอง ครูชี้ทางสร้างสรรค์ภูมิปัญญา ชนเชิดบูชาพระคุณครู
เจ้าของคำขวัญ นางเซียมเกียว แซ่เล้า
พ.ศ. 2543 - ครูต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เจ้าของคำขวัญ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล สร้างชาติ สร้างคน ผลงานของครู ทั่วโลกรับรู้ เชิดชูบูชา
เจ้าของคำขวัญ นายประจักษ์ เสตเตมิ
พ.ศ. 2544 - พระคุณครูยิ่งใหญ่ สร้างไทยให้พัฒนา ขอบูชาคุณครู
เจ้าของคำขวัญ นางสาวสุทิสา ธนบดีไพบูลย์
พ.ศ. 2545 - สร้างคนสร้างชาติ สร้างศาสตร์ก้าวหน้า สร้างภูมิปัญญา ขอบูชาครู
เจ้าของคำขวัญ นายสุเทพ วิเศษศักดิ์ศรี
พ.ศ. 2546 - ครูให้ความรู้ ควบคู่จรรยา ปวงชนทั่วหล้า น้อมบูชาครู
เจ้าของคำขวัญ นางสมปอง สายจันทร์
พ.ศ. 2547 - ครูคือพลังสร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบูชาพระคุณครู
เจ้าของคำขวัญ นางสาวพรทิพย์ ศุภกา
พ.ศ. 2548 - ครูสร้างคนสร้างชาติด้วยศาสตร์ศิลป์ ทั่วแผ่นศรัทธาบุชาครู
เจ้าของคำขวัญ นายประจักษ์ หัวใจเพชร
พ.ศ. 2549 - ครูดีเป็นศรัแผ่นดิน ศิษย์ทั่วถิ่นศรัทธาบูชาครู
เจ้าของคำขวัญ นางพรรณา คงสง
พ.ศ. 2550 - สิบหกมกรา เทิดทูน พ่อแผ่นดิน ภูมินทร์บรมครู ปี
เจ้าของคำขวัญ นางสาวศันสนีย์ แสนโรจน์
พ.ศ. 2551 - ครูของแผ่นดินเลิศศิลป์ศาสตร์ มหาราชภูมิพลฯ ชนบูชา
เจ้าของคำขวัญ นางพงษ์จันทร์ สุขเกษม
พ.ศ.2552 - ครูสร้างคนดี เป็นศรีแผ่นดิน ทั่วถิ่นศรัทธา บูชาคุณครู
เจ้าของคำขวัญ นางนฤมล จันทะรัตน์
ที่มา:
1. http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.thaisafenet.org/picture/Image/p21430851645.jpg&imgrefurl=http://www.thaisafenet.org/article.php%3Fact%3Dshow%26Id%3D668-.html&usg=__64oqI8fnafRSiwl0_kbjyVcozx4=&h=286&w=400&sz=20&hl=th&start=17&sig2=pKecUO9GG4eVsW9Hhau4mg&tbnid=zXB2x5Nf2inzwM:&tbnh=89&tbnw=124&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%26gbv%3D2%26ndsp%3D20%26hl%3Dth%26sa%3DN%26newwindow%3D1&ei=YFRdS6bcOcyHkQX1yYSkAw
2.http://images.google.co.th/images?gbv=2&hl=th&newwindow=1&sa=1&q=%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&aq=f&oq=&start=0
วันครู
วันครู ประวัติวันครู ความเป็นมาวันครู ความหมายวันครู
การจัดงานวันครู คำปฏิญาณตนของครู
ความหมาย
ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ
ความเป็นมา
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้
การจัดงานวันครู
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้ รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์
มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน
คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1. ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2. ข้อจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3. ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็น
ที่มา:
1. http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.thaisafenet.org/picture/Image/p21430851645.jpg&imgrefurl=http://www.thaisafenet.org/article.php%3Fact%3Dshow%26Id%3D668-.html&usg=__64oqI8fnafRSiwl0_kbjyVcozx4=&h=286&w=400&sz=20&hl=th&start=17&sig2=yn_Wk4eGlT3pQHU5vym0ww&tbnid=zXB2x5Nf2inzwM:&tbnh=89&tbnw=124&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%26gbv%3D2%26hl%3Dth%26newwindow%3D1&ei=jU9dS_PeN9CgkQXms_WVAw
2. http://images.google.co.th/images?gbv=2&hl=th&newwindow=1&q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9&sa=N&start=80&ndsp=20
งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม
งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม
วันที่ 27 ธันวาคม 2551 - 5 มกราคม 2552ณ บริเวณหาดเชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยกิจกรรมประกอบด้วย การประกวดพันธุ์ไม้งาม การประกวดการจัดตกแต่งสวนดอกไม้ การจัดแสดงดอกไม้งามนานาชนิด และการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามจัดงานดอกไม้งามให้สนั่น...ตลึงกับนางสาวถิ่นไทยงาม
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับกองประกวดนางสาวถิ่นไทยงามจัดให้มีให้มีการประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ปี 52 ในงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 5 ประจำปี 2552 ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม – 5 มกราคม 2552 ณ บริเวณสวนสาธารณหาดเชียงราย เนื่องในวาระครบรอบ 58 ปี การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเผยแพร่ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของการประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่ได้ทรงประทานมงกุฎและถ้วยรางวัลเกียรติยศ ให้แก่นางสาวถิ่นไทยงาม นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศที่ภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการปลูกดอกไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว ซึ่งอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไม้ดอก ไม้ประดับที่มีความสวยงามแปลกตา ทั้งสีสันและชนิดพันธุ์ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ จึงทำให้จังหวัดเชียงรายได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้งามมาโดยตลอด การจัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม – 5 มกราคม 2552 บริเวณสวนสาธารณหาดเชียงราย จัดขึ้นเพื่อให้งานนี้เป็นงานที่สำคัญงานหนึ่งของจังหวัดเชียงรายและเพื่อเป็นการยกระดับการจัดงานให้ทัดเทียมกับการจัดงานในระดับสากล โดยในงานจัดให้ผู้มาเที่ยวงามได้ชม ดอกทิวลิป ลิลลี่ และกล้วยไม้ อุทยานไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ ซึ่งในปีนี้ได้จัดยิ่งใหญ่มโหสารและอลังการ กว่าที่เคยจัดมาแล้ว ทั้งดอกลิลลี่ และทิวลิป ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างที่ทุกท่านจะต้องตกตะลึงในความมหาศาลละลานตาไปทั้งสวน ในส่วนของการจัดสวนกล้วยไม้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ เพิ่มจำนวนจากปีที่ผ่านมา จำนวน 15 สวน เพิ่มขึ้นเป็น 30 สวน ผสมกลมกลืนไปกับการจัด ภูมิปัญญาล้านนา วัฒนธรรมชนเผ่าแสดงและจำหน่ายสินค้า สุดยอดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาห้องท้องถิ่นสวนอาหาร ลานเครื่องดื่ม และการแสดงบนเวทีทุกวัน สำหรับพิธีเปิดงานในวันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม 2551 นั้น จะมีขบวนแห่รถบุปผชาติซึ่งได้รับความร่วมมือจาก สถาบันการศึกษา ส่วนราชการองค์กรต่างๆ ส่งขบวนรถบุปผชาติ เข้าร่วมขบวนและการประกวดโดยตกแต่งด้วยดอกไม้พันธุ์ไม้นานาชนิด ร่วมขบวนแห่ไม่ต่ำกว่า 10 ขบวน และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าชมงานได้จัดเตรียมการขนส่งผู้โดยสารทางน้ำ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรที่เป็นปัญหารถติดนับเป็นชั่วโมงกว่าจะเข้าสู่บริเวณงานได้ ทางคณะผู้จัดจึงได้จัดเรือโดยสารจากท่าน้ำเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ไปขึ้นที่ท่าน้ำบริเวณงานที่หาดเชียงราย ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาการจราจรติดขัดได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถนำรถมาจอดที่บริเวณก่อสร้างศาลากลางหลังใหม่ และบริเวณถนนเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวงได้นับพันคัน นางรัตนา กล่าวในที่สุดในส่วนของการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามนั้น นายโชติศิริ ดารายน ประธานกองประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม กล่าวว่า การจัดประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม เพื่อให้เป็นตัวแทนส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีล้านนา และเป็นการร่วมประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายในระดับประเทศ โดยจัดการประกวดรอบแรกในวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2552 และรอบสุดท้ายวันจันทร์ ที่ 5 มกราคม 2552 จะทำการถ่ายทำเทปการประกวดเพื่อนำไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เพื่อเผยแพร่ภาพประกวดให้แพร่หลายไปทั่วประเทศเพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 58 ปี ของการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามและเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม คณะผู้จัดได้จัดเพิ่มให้มีตำแหน่งนางงามบุปผชาติ โดยจะจัดการประกวด ในคืนวันที่ 4 มกราคม 2552 อีกด้วย.
การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองแห่งดอกไม้งาม และส่งเสริมให้จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับเมืองหนาว อาทิ ดอกทิวลิป ดอกลิลลี่ และกล้วยไม้นานาพันธุ์ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกร และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมล้านนา ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย นอกจากนั้น ยังร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามให้คงอยู่สืบไป
ที่มา :
1. http://www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=2456
2. http://images.google.co.th/images?hl=th&source=hp&q=%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E&gbv=2&aq=f&oq=
สุขสันต์วันปีใหม่ 2552""""
สุข..สดชื่น..สมหวัง..ตลอดไปนะคะพี่/น้อง...
รักมากมาย...nussa"""
สถานที่จัดงานปีใหม่2010
วันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 นี้ ยิ้มแก้มปริกันเลย เพราะได้หยุดต่อเนื่องถึง 4 วันเต็มๆ เพื่อนๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวไว้ไปเคาท์ดาวน์กันหรือยังเอ่ย? ใครที่ยังไม่มีไอเดีย ลองดูสถานที่ Countdown ทั่วกรุง และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติยอดนิยมทั่วไทยที่เรารวบรวมมาฝากกันดูนะจ๊ะ ที่เคาท์ดาวน์ฮิปๆ เก๋ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่แค้มปิ้งบนยอดดอย ชมวิวทะเลหมอก สัมผัสสายลมหนาวจับใจ, แหวกว่ายกับฝูงปลา ดำน้ำรอบหมู่เกาะต่างๆ ไปจนถึงเดินป่า สำรวจธรรมชาติบนภูเขาในบรรยากาศเย็นๆ ชิลล์ๆ ไม่ว่าจะภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เมืองไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวครบทุกสีสัน มันส์เต็มพิกัดจริงๆ ไม่เคยไปที่ไหน หรือไปแล้วติดใจอยากกลับไปอีกครั้ง รีบวางแผน หาที่พักกันด่วนเลยจ้า
เบื่อรถติด ไม่ชอบแย่งกันกิน-เที่ยว อยู่เคาท์ดาวน์ที่กรุงเทพฯ กันดีกว่า
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของปีที่หลายคนรอคอย สำหรับการจัดงานเคาท์ดาวน์ในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรแห่งนี้ ปีนี้ มีหลายแห่งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้ๆ ที่พร้อมใจกันจัดงานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 เพื่อสร้างสีสันให้เมืองกรุงมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ใครไม่ได้ออกไป countdown ต่างจังหวัด ก็สามารถเก็บเกี่ยวบรรยากาศคึกคักของเมืองหลวงได้ไม่แพ้เมืองใหญ่ๆ เมืองอื่น
เที่ยวทั่วโลกช่วงปีใหม่ กับ แสง สี เสียง 3 มิติ
วันจัดงาน : ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 2 มกราคม 2553 เวลา 19.00-21.00 น.
สถานที่จัดงาน : บริเวณลานน้ำพุ ด้านนอกของคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร

โชว์แสง สี เสียง 3 มิติ ในคอนเซปต์ The Enchanted Voyage of the World ที่โดดเด่นด้วยเทคนิค interactive ครั้งแรกของเมืองไทย ไฮไลท์เด่นของการแสดงชุดนี้อยู่ที่การพาผู้ชมโลดแล่นไปสู่โลกแห่งจินตนาการ เดินทางท่องไปยังสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางธรรมชาติอันเลื่องชื่อในทั่วทุกมุมโลก มากกว่า 20 เส้นทาง
กิจกรรมนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 ย่านราชประสงค์ @Central World
ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2552 - 1 มกราคม 2553 ในเขตกรุงเทพมหานคร

ขอพรช้างเอราวัณ สุขสันต์ Countdown 2010
วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป
สถานที่จัดงาน : พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ
ชมการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง, ลิเกพื้นบ้าน, การแสดงมายากล, chill out กับดนตรีในสวนบรรยากาศ Winter Love Song, เลือกซื้อสินค้ามากมายบนถนนคนเดิน, ดูงานศิลปะฝีมืออาร์ตติส เมืองปากน้ำ พิเศษสุด… หางบัตรชิงของรางวัลและเงินสดรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท
แอ่วเหนือ-ขึ้นอีสาน-ล่องใต้ ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่แบบอินเทรนด์
เทศกาลปีใหม่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่หลายๆ ครอบครัวเฝ้ารอเพื่อจะข้ามคืนสุดท้ายของปีเก่า เข้าสู่ศักราชใหม่ไปอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และคงจะดีไม่น้อย หากได้เปลี่ยนบรรยากาศไป countdown ในสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ ร่วมกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท พร้อมทั้งสูดอากาศเย็นสดชื่นให้ฉ่ำปอด ผ่อนคลายสายตาจากความเหนื่อยล้ามาตลอดปีกับธรรมชาติเขียวขจีและบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขาในภาคเหนือ - อีสาน หรือจะเยือนถิ่นตะวันออก - ล่องแดนใต้ หลบความวุ่นวายไปติดเกาะ แหวกว่ายทักทายฝูงปลา-ปะการัง และพักผ่อนบนชายหาดสวยงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ก็ถือว่าเป็นไอเดียเคาท์ดาวน์ที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ โอกาสนี้ เราขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติฮอตฮิตทั่วไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองปีใหม่กันมากที่สุด 10 อันดับค่ะ
1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่
2. ปาย แม่ฮ่องสอน
3. ภูชี้ฟ้า เชียงราย

4. ผาแต้ม อุบลราชธานี
5. มอหินขาว ชัยภูมิ (1 ในแคมเปญ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน)

6. เขาใหญ่ นครราชสีมา
7. หมู่เกาะช้าง เกาะกูด ตราด

8. เกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์
9. เกาะสมุย เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี
10. หมู่เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง-ราวี สตูล

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 ในอีกหลายจังหวัดทั่วไทย อาทิเช่น
งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่สู่เชียงใหม่ 2010 จังหวัดเชียงใหม่
วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 - 1 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : ถนนท่าแพตลอดสายและบริเวณช่วงประตูท่าแพ และ Think Park สี่แยกรินคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ นครราชสีมา
วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 3 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : อำเภอปากช่อง และอำเภอวังน้ำเขียว นครราชสีมา

Korat Countdown 2010
วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 2 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา
งานรับตะวันใหม่ ก่อนใครในสยาม และ อุบลราชธานี เคาท์ดาวน์ 2010
วันจัดงาน : 1 ธันวาคม 2552 - 31 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : บริเวณเวทีกลาง ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี

งานเทศกาลปีใหม่เมืองพัทยา (Pattaya Countdown 2010)
วันจัดงาน : 25 - 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : ท่าเทียบเรือท่องเที่ยว(แหลมบาลีฮาย) พัทยาใต้เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่เมืองหัวหิน
วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 3 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : ศูนย์การค้าหัวหินมาร์เก็ตวิลเล็จ ประจวบคีรีขันธ์
งานสีสันความสุขปีใหม่ภูเก็ต 2553 (Colorful Phuket Countdown 2010)
วันจัดงาน : 25 - 31 ธันวาคม 2552 เวลา 18.30 - 24.00 น.
สถานที่จัดงาน : วงเวียนสุรินทร์ (หอนาฬิกา) ภูเก็ต
Night Paradise Hatyai Countdown 2010
วันจัดงาน : 29 - 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา

ฟังดนตรี และ Countdown to New Year @ บูติก ราฟท์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท
วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : Boutique Raft Riverkwai อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
งานมหกรรมอาหาร และงานต้อนรับปีใหม่ จังหวัดพิษณุโลก
วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552- 1 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : บริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ อ.เมือง จ.พิษณุโลก
ดนตรีและศิลปะการแสดงภาคอีสาน
ดนตรีและศิลปะการแสดงภาคอีสาน
ความรับรู้ของคนทั่วไปต่อภาคอีสานตั้งแต่อดีตสืบมา มักจะเป็นลักษณะทำนองว่าเป็นดินแดนที่แห้งแล้งและยากจน ความเจริญของอารยธรรมเมืองยังไม่อาจคืบคลานเข้าไปถึง และมีความรู้สึกที่แตกต่างแบ่งแยกทางเชื้อชาติประเพณีวัฒนธรรมผสมผสานอยู่ในที ซึ่งในส่วนของคนอีสานเองนั้นตั้งแต่อดีตมาต่างรู้สึกว่าตนมีความแตกต่างจากคน "ไทย" เช่นเดียวกัน ทั้งนี้หากมองในมิติประวัติศาสตร์จะสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของโลกทัศน์ดังกล่าว ดังนั้นความเป็นพรรคพวกนิยม คนอีสานในอดีตโดยเฉพาะคนในแถบชนบทนั้นจึงค่อนข้างให้ความสนใจและตระหนัก ซาบซึ้งถึงความเป็นตนเองอยู่สูง ซึ่งในบรรดาสื่อที่จะรวมคนอีสานให้เป็นกลุ่มก้อนได้นั้นนอกจากภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว ดนตรีและศิลปะการแสดงต่างๆยังเป็นสื่อกลางสำคัญในการเชื่อมร้อยเรียงคนอีสานให้เป็นหนึ่งเดียว เกิดความรักและสำนึกในพวกพ้องถิ่นกำเนิดอย่างมาก
ลักษณะของดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน
ลักษณะพิเศษของดนตรีและศิลปะการแสดงของคนอีสานมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทั้งความหลากหลายของเครื่องดนตรี ท่วงทำนอง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะให้ความสนุกสนานจังหวะที่เร้าใจอันแย้งกับความแห้งแล้งของสภาพแวดล้อม ความทุกข์ยากลำบากของคนอีสานไม่ได้เป็นตัวกั้นกางความคิดสร้างสรรค์ที่จะประดิษฐ์คิดค้นเครื่องดนตรี การละเล่นต่างๆออกมา แต่กลับช่วยผลิตผลงานที่มีคุณค่าในตนเองอออกมาอย่างวิจิตร เสียงดนตรีที่สะท้อนออกมาช่วยบ่งบอกลักษณธอุปนิสัยของคนอีสานออกมาส่วนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้ลักษณะของศิลปการแสดงพื้นบ้านอีสานซึ่งเป็นที่ทราบกันส่วนใหญ่มักจะเป็นในลักษณะการขับร้องหรือศิลปะการใช้เสียงประกอบการแสดง ดังเช่นการแสดงหมอลำประเภทต่างๆ เช่น หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน เป็นต้น ซึ่งนอกจากที่กล่าวมาแล้วนี้ยังมีการแสดงอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า การฟ้อน ซึ่งการฟ้อนของชาวอีสานนั้น เป็นการคิดประดิษฐ์ขึ้นจากท่าทางลีลาต่างๆ ซึ่งมาจากท่าที่มีมาแต่ดั้งเดิม หรือเลียนแบบจากอากัปกิริยาของร่างกายต่างๆตามธรรมชาติที่มีอยู่ทั้งจากคน สัตว์ หรือจากจินตนาการ โดยพยายามคิดดัดแปลงให้มีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม เช่น ท่ายูงลำแพน ท่าสาวปะแป้ง ท่าลำเพลิน ท่าหงส์บินเวิน เป็นอาทิ
การนำอาการของสิ่งต่างๆดังกล่าวนี้มาประยุกต์ใช้ ชาวอีสานเรียกว่า การฟ้อน ซึ่งการฟ้อนนั้นในอดีตดั้งเดิมนั้นจะเป็นการนำไปประกอบการเซิ้งต่างๆ โดยจะมีบทขับเรียกว่า กาพย์เซิ้ง เช่น เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางแมว เซิ้งนางด้ง เป็นต้น ครั้นต่อมาจึงได้มีการนำเอาดนตรีเข้าไปประกอบในการฟ้อนด้วย และได้มีการประดิษฐ์ท่าฟ้อนจากท่าพื้นบ้านให้สวยงามมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องในท่วงทำนองและจังหวะของดนตรีที่นำมาประกอบ ซึ่งปัจจุบันจะเห็นว่าการฟ้อนประกอบดนตรีของอีสานมีอยู่หลายชุด เช่น ฟ้อนแพรวา ฟ้อนภูไท 3 เผ่า ฟ้อนบายศรี เป็นต้น
สำหรับดนตรีพื้นบ้านอีสานนั้นส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ในกิจวัตรความเป็นอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน อันเกิดจากการประกอบอาชีพประจำฤดูกาลต่างๆ เช่น การจับสัตว์น้ำ สัตว์บก การทำไร่ไถนา หรือสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสนุกสนานเพลิดเพลินอันเกิดจากอุปนิสัยใจคอท่ามกลางวิถีชีวิตของสังคมอีสานทั้งนี้ในส่วนของลักษณะของดนตรีพื้นบ้านอีสานจะมีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ กล่าวคือ กลุ่มวัฒนธรรมไทย - ลาว(อีสานเหนือ) และกลุ่มวัฒนธรรมไทย - เขมร(อีสานใต้) ซึ่งจะมีความแตกต่างทางด้านสุ้มเสียง สำเนียงดนตรีตลอดจนรูปแบบ ซึ่งจะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป เช่น ทำนอง ทางอีสานเหนือจะเรียกว่า ลายเพลง ส่วนทางอีสานใต้จะเรียกว่า บอดเพลง เป็นต้น
การแบ่งประเภทของกลุ่มวัฒนธรรมอีสาน
เนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงมีความหลากหลายในส่วนของภาษาและวัฒนธรรมของประชาชน โดยอาจจะสามารถแยกพิจารณาออกตามกลุ่มวัฒนธรรมของกลุ่มคนต่างๆ ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มวัฒนธรรมอีสานเหนือ เป็นกลุ่มที่ใช้ภาษาที่เรียกว่า ไทย - ลาว เป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ใช้ภาษาเฉพาะท้องถิ่นท้องของตน เช่น กลุ่มคนภูไท แสก ย้อโส้ และโย้ย ทั้งนี้กลุ่มอีสานเหนือได้แก่พื้นที่ซึ่งอยู่ในแถบ แอ่งสกลนคร อันประกอบไปด้วย 15 จังหวัด คือ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดสกลนคร จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดเลย จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ
2. กลุ่มวัฒนธรรมอีสานใต้ คือกลุ่มที่อยู่ในบริเวณของพื้นที่ที่ราบตอนใต้ที่เรียกว่า แอ่งโคราช ได้แก่กลุ่มคนที่อยู่แถบ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีษะเกษ กลุ่มวัฒนธรรมนี้จะใช้ภาษาที่เรียกว่า ไทย - เขมร เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นจังหวัดเดียวคือจังหวัดนครราชสีมา ที่ใช้ภาษาไทย - โคราช
จากการที่เราได้แบ่งกลุ่มของวัฒนธรรมอีสานออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆตามลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ข้างต้นนั้น ดังนั้นจึงอาจแบ่งประเภทของศิลปะการแสดงและดนตรีของอีสานออกเป็น 2 กลุ่มตามที่กล่าวมาคือ ศิลปการแสดงและดนตรีอีสานของกลุ่มวัฒนธรรมอีสานเหนือ และศิลปการแสดงและดนตรีอีสานของกลุ่มวัฒนธรรมอีสานใต้
1. ลักษณะของศิลปการแสดงและดนตรีพื้นบ้านอีสานเหนือ กลุ่มแถบอีสานเหนือได้มีการสืบทอดวัฒนธรรมทางศิลปะการแสดงและดนตรีจากกลุ่มวัฒนธรรม 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่หนึ่ง กลุ่มวัฒนธรรมหมอลำหมอแคน เป็นกลุ่มที่ใช้แคนเป่าประกอบการลำและการละเล่นพื้นบ้านอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของลำแคน และวัฒนธรรมกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอยู่ทั่วไปในชนกลุ่มที่ใช้ภาษาถิ่นอีสาน แถบจังหวัด ขอนแก่น ชัยภูมิ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด หนองคาย อุดรธานี และอำนาจเจริญ และกลุ่มวัฒนธรรมภูไทวัฒนธรรมลำปี่แคน ซึ่งเป็นกลุ่มของคนกลุ่มน้อยที่มีวัฒนธรรมเฉพาะตัวพิเศษแตกต่างไปจากกลุ่มใหญ่ในแถบอีสานเหนือ เนื่องจากได้มีภาษาพูดเป็นภาษาที่ใช้เฉพาะกลุ่ม วัฒนธรรมทางด้านการแสดงมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น บางส่วนแถบจังหวัด กาฬสินธุ์ นครพนม สกลนคร และบางจังหวัดที่มีคนกลุ่มเหล่านี้อาศัยอยู่ เช่นชาวแสก ชางย้อ ชาวโส้ และชาวโย้ย เป็นต้น
1.1 เครื่องดนตรีในกลุ่มอีสานเหนือสำหรับเครื่องดนตรีของกลุ่มอีสานเหนือแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามลักษณะของหน้าที่และจุดประสงค์การใช้ คือ เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี และเครื่องเป่า เครื่องดีด ประกอบไปด้วย- พิณ บางแห่งเรียกว่า ซุง เชื่อว่ามีรากฐานมาจากคำเดียวกับคำว่า ซึง ในภาษาเหนือ ชาวภูไทเรียก พิณ หรือ กระจับปี่ พิณอาจมี 2 สาย 3 สาย 4 สาย ซึ่งการเล่นพิณนั้นสามารถใช้เล่นทั้งดีดเดียว หรือดีดประกอบลำเพลิน หรือดีดเข้าวงกับแคน ซอหรือโปงลาง- หุน หึน หรือหืน เป็นเครื่องดีดที่ทำด้วยไม้ไผ่ เวลาดีดจะสอดเข้าไปไว้ในปากคล้ายกับคาบไว้ กระพุ่งแก้มจะทำหน้าที่เป็นเครื่องขยายเสียงของหุน หุนโดยปกติจะทำทำนองได้ 2-3 เสียงเท่านั้น ลักษณะของหุนจะมีความยาวประมาณ 12-15 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร บริเวณตรงกลางจะเจาะเป็นร่องเพื่อใช้เป็นลิ้นในตัว โดยจะใช้ปลายด้านหนึ่งเป็นที่จับและอีกปลายด้านหนึ่งเป็นที่ดีด
เครื่องสี มีเพียงหนึ่งอย่าง คือ ซอซอ เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้คันชักสีที่ตัวกะโหลกซอ เพื่อทำให้เกิดเสียง ซออีสานมีเรียกกันหลายชนิดขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ในการทำกะโหลกซอ เช่น หากใช้กะลามะพร้าวทำกะโหลกซอจะเรียกว่า ซอกะโป๋ หากใช้กระป๋องหรือปี๊บมาทำจะเรียกว่าซอกระป๋องหรือซอปี๊บ บางครั้งอาจใช้ไม้ไผ่ทำ โดยขึงสาย 2 สายและใส่คันชักที่สายซึ่งจะเรียกว่าซอไม้ไผ่เครื่องตี โดยจะประกอบไปด้วย- โปงลาง มีลักษณะเป็นท่อนไม้กลมทำจากไม้มะหาด ไม้หมากหมี่ ไม้หมากเหลือม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-8 เซนติเมตร ถากตรงกลางทั้ง 2 เป็นด้านเพื่อปรับระดับเสียง โปงลางมี 12-13 ลูกสามารถทำให้เกิดเสียงในระบบ 5 เสียง คือ โด เร มี ซอล ลา ลูกโปงลางแต่ละลูกจมีความยาวลดหลั่นกันผูกรวมกันด้วยเชือก โดยเจาะรูทั้ง 2 ด้าน แล้วร้อยเชือกผ่านรวมกันเป็นผืนเวลาตีจะใช้แขวนไว้โยงกับเสาโดยเรียงจากลูกใหญ่สุดไว้ข้างบนถึงเล็กสุดไว้ข้างล่าง- กลองเส็ง เป็นกลองประเภทขึงหนัง 2 หน้า มีชื่อเรียกหลายซื่อ เช่น กลองเส็ง กลองอิ่ง กลองแต้กลองชนิดนี้มีขนาดต่างๆ กันจาก 50- 150 เซนติเมตร- กลองตึ่ง เป็นกลองขึงหนังหน้าเดียว หุน่กลองทำด้วยไม้ทรงกลม ข้างในกลอวง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50-55 เซนติเมตร มีความหนาประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใช้สำหรับลงจังหวะหนัก- กลองยาวอีสาน เป็นกลองขึงหนังหน้าเดียว หน้ากลองขึงด้วยหนังวัว หรือหนังควาย หุ่นกลองทำด้วยไม้ขนุน ขุดเป็นโพลงกลวงข้างใน ใช้ตีเข้ากับขบวนแห่ หรือเอาไปบรรเลงร่วมกับกลองตึ่ง- หมากกับแก๊บ หรือ กรับหมู่ เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะทำจากไม้เนื้อแข็ง เวลาตีใช้ฟาดลงบนฝ่ามือ- ผางฮาด คือ ฆ้องโหม่งโบราณที่ไม่มีปุ่ม แต่หน้าจะราบเรียบเสมอกันหมด- สิ่งและแส่ง หรือ ฉิ่ง และฉาบนั่นเอง ใช้ตีในการประกอบจังหวะเครื่องเป่า ประกอบไปด้วย- แคน เป็นเครื่องเป่าที่นิยมกันมากและยังถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสาน ทำมาจากไม้ไผ่รวก หรือไผ่เฮี้ย ชื่อของแคน เรียกกันตามจำนวนลูกแคน เช่น แคน 6 มี 6คู่ แคน 7 มี 7 คู่ แคน 8 มี 8คู่ แคน 9 มี 9 คู่ ทั้งนี้คนอีสานยังมีความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นมาของแคนว่าเชื่อคำว่าแคนน่าจะมาจากเสียงที่ดังออกมา บ้างว่าคงจะมาจากการเรียกเต้าแคน ซึ่งทำจากไม้แคน หรือไม้ตะเคียน บ้างว่าผู้ที่คิดค้นแคนขึ้นมาคือแม่หม้าย ดังนั้นเสียงที่ได้จึงโหยหวน ไพเราะอ่อนหวาน ออดอ้อนเหมือนผู้หญิงที่อยู่ตัวคนเดียวไร้คู่เคียงคู่ทำนองนั้น บ้างได้ผูกนิยายเป็นเรื่องราวว่า นานมาแล้วมีพระราชาพระองค์หนึ่งได้เสด็จเข้าป่ามาพร้อมด้วยข้าราชบริพารเพื่อจะได้ล่าสัตว์ วันหนึ่งเมื่อบรรทมได้สุบินว่ามีของสิ่งหนึ่งได้ตกลงมาจากฟากฟ้ามาอยู่ที่เฉพาะพระพักตร์ แต่ไม่ทราบว่าสิ่งของที่ปรากฏนั้นเรียกว่าอะไร ครั้นพอตื่นบรรทมจึงได้ยินเสียงหนึ่งทำนองไพเราแว่วดังมาจากในป่า จึงเสด็จพร้อมข้าราชบริพารตามเสียงดังกล่าวไป จนกระทั่งเข้าใกล้เสียงไปมาก และมาหยุดที่น้ำตกแห่งหนึ่ง ที่มีลักษณะเจ็ดชั้น จึงทราบว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากเสียงน้ำที่ไหลลงมาต่างระดับกัน เมื่อกระทบกับโตรกธารหินจึงเกิดเสียงแตกต่างกัน ด้วยความซาบซึ้งในเสียงดังกล่าวจึงได้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีเลียนแบบเสียงน้ำตกขึ้น จนกลายเป็นแคนในปัจจุบัน - โหวด เป็นเครื่องเป่าที่ทำด้วยลูกแคน แต่ไม่มีลิ้น โดยตัดให้ลำของลูกแคนยาวต่างระดับกันเพื่อก่อให้เกิดเป็นเสียง ตามที่ต้องการหากจะพิจารณาตามเกณฑ์ของจังหวะหรือเสียงมาตรฐานสากลได้ 5 เสียง คือ โด เร มี ซอล ลา โดยโหวดจะใช้เป่าในแนวทำนองหวาน เยือกเย็น โหยหวน มีเสียงสดใสใช้ทำทำนองได้ชัดเจน- ปี่กู่แคน หรือปี่ผู้ไท เป็นเครื่องเป่าที่ทำจากไม้ไผ่เฮี้ยไผ่รวกเช่นเดียวกันกับ แคนน และโหวด มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เป็นปี่ลิ้นเดียว เลาแคนเจาะรูนับเสียง 5 รู
1.2 ลักษณะการผสมวงของดนตรีอีสานเหนือเครื่องดนตรีที่กล่าวข้างต้น นอกจากจะสามารถนำมาแสดงเดี่ยวแล้ว ปัจจุบันจากพัฒนาการและความนิยมสนใจของผู้เกี่ยวข้องจึงสามารถที่จะนำมารวมวงประกอบกับเครื่องดนตรีอื่นๆเพื่อให้เกิดท่วงทำนองจังหวะที่หลากหลาย โดยจะเรียกว่าการแบ่งดังกล่าวว่าการแบ่งวง ทั้งนี้ถือตามเครื่องดนตรีหลักที่ใช้ในการเล่นที่มีความเด่นและถูกเน้นมากที่สุด คือ- วงโปงลาง ประกอบไปด้วย เครื่องดนตรีอีสานพื้นบ้านที่มีโปงลางเป็นหลักโดยจะมีโปงลางสักกี่ผืนก็ได้ นอกจากนี้ยังเสริมด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านชนิดอื่นตามสมควร เช่น แคน พิณ ซอ ฉิ่ง และกลอง วงโปงลางนิยมใช้บรรเลงตามงานรื่นเริงต่าง ๆ - วงแคน เป็นวงที่ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่มีแคนเป็นหลัก ซึ่งจะมีกี่เต้าก็ได้ นอกจากนี้ยังเสริมด้วยเครื่งคนตรีชนิดอื่นอีกตามความเหมาะสม เช่น พิณ ซอ ฉิ่ง และกลอง- วงพิณ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านมีพิณเป็นหลัก จะมีจำนวนสักกี่ตัวก็ได้ซึ่งนอกจากนี้ในวงพิณก็ยังเสริมด้วยตรีอีสานชนินอ่นๆ อีกด้วยเช่นกัน- วงกลองยาว เป็นวงดนตรีที่ประกอบไปด้วยกลองยาวอีสานเป็นหลัก ซึ่งแต่ละวงนั้นจะมีกลองยาวประมาณ 3 ใบขึ้นไป และมีกลองตึ้ง 1-2 ใบ ฉาบอีก 1 คู่ วงนี้ใช้ตีเป็นทำนองและจังหวะแบบอีสานทั้งจังหวะช้าและจังหวะเร็ว วงกลองยาวอีสานนี้นิยมใช้ในงานบุญและมงคลที่เป็นงานรื่นเริงต่างๆ นิยมใช้ในการประกอบขบวนแห่ของชาวอีสานในเทศกาลต่างๆ - วงมโหรีอีสาน เป็นวงดนตรีอีสานที่มีเครื่องดนตรีครบทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า เช่น หุน ซอ ฉิ่งฉาบ ปี่ กลอง และมีเครื่องดนตรีบางส่วนเป็นเครื่องดนตรีขอวงมโหรีภาคกลาง
1.3 ศิลปะการแสดงพื้นบ้านอีสานเหนือศิลปการแสดงพื้นบ้านของอีสานเหนือส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางการร้องลำระบำรำฟ้อนเป็นหลักซึ่งมีมากมายหลายชุดหลายแบบ โดยจะกล่าวถึงเฉพาะที่มีความสำคัญ และเป็นที่นิยมละเล่นและแสดงมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทั้งที่มีมาแต่ดั้งเดิมและที่มีการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในภายหลัง และที่จะนำมากล่าวถึงมีดังนี้ - การร้องสรภัญญะ สรภัญญะแต่เดิมเป็นการสวดในพุทธศาสนา ซึ่งชาวบ้านนำมาขับร้องในรูปแบบของการขับลำนำ ในพิธีต่างๆ เช่น พิธีไหว้ครู งานทอดเทียนถวายเทียนพรรษา เป็นต้น ซึ่งการร้องสรภัญญะ โดยจะร้องรวมกันเป็นหมู่คณะ โดยบทที่นำมาร้องส่วนมากจะเกี่ยวพุทธประวัติและชาดกต่างๆ - การเซิ้งบั้งไฟ การแสดงชุดนี้จะใช้แสดงในงานเทศกาลบุญเดือน 6 หรือที่เรียกกันว่า บุญบั้งไฟ โดยบทร้องจะร้องเป็นกาพย์อีสาน ประกอบประกอบกับดนตรี คือกลองยาวซึ่งจะใช้ประกอบในขบวนแห่บั้งไฟ โดยจะมีการฟ้อนประกอบซึ่งจะมีท่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังและจัดเป็นประจำทุกๆ ปี คือที่ จังหวัดยโสธร และที่อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด- การฟ้อนบายศรี เป็นการฟ้อนที่ใช้ประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นประเพณีของชาวอีสานที่จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตในโอกาสต่างๆ หรือเพื่อต้อนรับแขกผู้ที่มาเยือน การแสดงชุดนี้จะใชผู้แสดงทั้งหมดเป็นหญิงล้วน โดยจะฟ้อนประกอบกับคำร้องเป็นภาษาอีสานซึ่งประพันธ์ขึ้นเพื่อการฟ้อนบายศรีโดยเฉพาะ และวงดนตรีอีสานประกอบการบรรเลง- ฟ้อนภูไท 3 เผ่า เป็นการฟ้อนของชาวไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า ผู้ไท ซึ่งอาศัยอยู่แถบ กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม ซึ่งจะมีลีลาการฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาว ผู้ไท โดยจะเป็นการรวมการฟ้อนของลีลาอันมีความโดดเด่นของภูไท 3 เผ่าด้วยกันคือ ภูไทกาฬสินธุ์ ภูไทสกลนคร และภูไทนครพนม จุดประสงค์เริ่มต้นของการแสดงชุดนี้ เพื่อบูชาพระธาตุเชิงชุม ที่จังหวัดสกลนคร โดยเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการแสดงชุดนี้คือ ดนตรีพื้นบ้านอีสานโดยเน้นดนตรีภูไทเป็นหลัก เช่น กลองเส็ง ผางฮาด หมากกับแก๊บ ฉาบ เป็นต้น ส่วนผู้แสดงจะใช้ผู้หญิงล้วนในการแสดง- เต้ยหัวโนนตาล การแสดงชุดนี้เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความสนุกสนานเป็นหลัก ซึ่งจะใช้ดนตรีพื้นบ้านอีสานในการบรรเลงประกอบกัการร้องลำเต้ยในทำนองเต้ยเกี้ยว ซึ่งมีเนื้อหาในทำนองการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว ผู้แสดงจะใช้ผู้ชายคู่กับผู้หญิงประมาณ 4 คู่ขึ้นไป- การฟ้อนตังหวาย เป็นการฟ้อนประกอบทำนองลำตังหวาย ซึ่งใช้ลำเพื่อบวงสรวงบูชา ของชาวบ้านแถบอีสานเหนือ ทำนองมีความไพเราะเร้าใจ ลีลาการฟ้อนอ่อนช้อยงดงาม ปัจจุบันนิยมนำมาลำเพื่อเป็นการอวยพร และอำลาจาก ผู้แสดงนั้นจะใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นหญิงล้วน- ระบำจำปาศรี เป็นระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดยอาศัยข้อมูลทางโบราณคดี ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระธาตุนาดูน และอาณาจักรจำปาศรีซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณสมัยทวารวดี ที่มีอยู่ในเขตจังหวัดมหาสารคาม โดยท่ารำจะผสมผสานท่ารำพื้นบ้าเข้ากับชุดระบำโบราณคดี และใช้บทเพลงมโหรีอีสานซึ่งไม่มีเนื้อร้องเป็นเพลงที่ใช้ในการบรรเลง สำหรับผู้แสดงทั้งหมดจะใช้เป็นผู้หญิงล้วน- การแสดงหมอลำ เป็นศิลปการแสดงรู้จักกันทั่วไป โดยต้องใช้ทักษะความสามารถหลายด้านทั้งทางด้าน ภาษา น้ำเสียง ลีลาการฟ้อน บุคลิกภาพ ไหวพริบและความสามารถทางด้านดนตรี ที่ต้องเข้าใจ
องค์ประกอบของการแสดง
ตลอดจนทักษะและความชำนาญในด้านต่างๆ ซึ่งการแสดงหมอลำนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทด้วยกันคือ1. หมอลำพื้น เป็นการแสดงที่เป็นการลำที่ใช้ทำนองลำบรรยายเรื่องราวด้วยผู้แสดงเพียงคนเดียว ซึ่งนำเอาวรรณกรรมของอีสานจากเรื่องในชาดกในพุทธศาสนาที่ได้จากหนังสือผูก มาลำบรรยายตามเนื้อเรื่ง โดยทำนองที่นิยมลำมี 3 ทำนองคือ ทำนองลำทางสั้น ทำนองลำเดิน และทำนองลำทางยาว ดนตรีทีใช้ประกอบในการบรรยายคือ แคนใช้เป่าในลายใหญ่ สำหรบเรื่องซึ่งเป็นนิยมลำกันคือ เรื่อง ท้าวการะเกด จำปาสี่ต้น นางแตงอ่อน ผาแดง-นางไอ่ สินชัย เป็นต้น2. หมอลำกลอน เป็นการลำเป็นบทกลอนโดยจะลำกันเป็นคู่ 2 คนโต้ตอบกันไปมา เรียกว่า ลำแก้โจทย์ เป็นการแสดงที่แสดงถึงการเกี้ยวพาราสีระหว่าหนุ่มสาว ดนตรีที่ใช้ประกอบหมอลำกลอนคือ แคน ซึ่งทำนองหลายลาย เช่น ลายสุดสะแนน ลายโป้ซ้าย ลายเดิน เป็นต้น ปัจจุบันหมอลำกลอนได้มีวิวัฒนาการไปเป็นหมอลอีกแขนงหนึ่ง เรียกว่า หมอลำกลอนซิ่ง หรือ หมอลำซิ่ง ซึ่งเป็นการประยุกต์นำเอาเครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้าไปประกอบในการบรรเลงเช่น กลองชุด กีต้าร์ไฟฟ้าเป็นต้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน3. หมอลำหมู่ เป็นการลำเป็นหมู่คณะ มีผู้แสดงครบตามบทบาทในเรื่อง เช่น พระเอก นางเอก พระรอง นางรอง ตัวตลก ผู้ร้ายตัวประกอบ การลำนิยมลำเป็นเรื่องราวสะท้อนให้เห็นถึงสภาพวิถีของมนุษย์ในรูปแบบต่าง โดยส่วนใหญ่เน้นสาระที่สำคัญ ได้แก่ เรื่องราวที่เกี่ยวกับนิทานชาดก ตำนาน วรรณคดีอีสานเรื่องต่างๆ การแสดงหมอลำหมู่เป็นการแสดงศิลปการแสดงที่สมบูรณ์แบบที่สุดมีการผสมผสานการแสดงแบบอื่นไว้ในหมอลำหมู่ด้วยดนตรีที่ใช้ประกอบหมอลำหมู่แต่เดิมจะใช้เครื่องดนตรีคือแคน แต่ต่อมาเมื่อรูปของการลำเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม จึงได้มีการเพิ่มผู้แสดงมีการแต่งกายประดับประดาหรูหรามากขึ้นทั้ง เวที ฉาก แสง สี เสียง ประกอบเวทีที่อลังการตระการตามากขึ้น จึงมีการปรับปรุงรูปแบบของดนตรีจากแคนอย่างเดียวเพิ่มเครื่งดนตรีสากลสมัยใหม่เข้าไปอีกหลายชิ้น เช่น กลองชุด อิเล็กโทน กีต้าร์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ดนตรีสมัยใหม่อีกมากมายข้าเข้าไปประกอบและเมื่อเพลงลูกทุ่งได้รับความนิยมมากขึ้น จึงเอามาบรรเลงก่อนการแสดงมีการเต้นประกอบของหางเครื่อง ในปัจจุบันการแสดงของหมอลำหมู่จะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกการโหมโรม ก่อนการลำที่เรียกว่า เต้นโชว์ หรือ โชว์วง และช่วง 2 คือการลำเรื่องต่อกลอน3. การแสดงหมอลำเพลิน เป็นแสดงที่เน้นไปในทางสนุกสนานครื้นเครง โดยพัฒนารูปแบบมาจากหมอลำหมู่ มีการแสดงเป็นเรื่องราวพื้นบ้านเช่นกัน การแสดงนั้นก็พัฒนารูปแบบมาจากหมอลำหมู่แต่ปรัปรุงเครื่องแต่งกายเป็นแนวทันสมัยมากขึ้น เช่นนุ่งกระโปรงสั้น บางจึงเรียกหมอลำชนิดนี้ว่า หมอลำกกขาขาว มีท่าทางการร้องลำและฟ้อนในจังหวะที่รวดเร็วเร้าใจที่เรียกว่าจังหวะลำเพลิน นิยมหมุนพลิกแพลงท่าทางเต้นและแสดงท่าทางการฟ้อนที่ละเอียดอ่อนและวิจิตบรรจง4. หมอลำผีฟ้า การแสดงชนิดนี้มิได้มุ่งแสดงเพื่อความบันเทิง แต่มีจุดมุ่งหมายในการรักษาคนป่วยให้หายเจ็บ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวอีสานมาตั้งแต่โบราณ โดยเชื่อว่าการแสดงนี้จะสามารถติดต่อกับเทวดาซึ่งเรียกว่าแถนหรือผีฟ้าให้ลงมารักษาคนป่วยได้เพราะชาวบ้านเชื่อว่าการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เกิดจากการกระทำของผี เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงชุดนี้คือ แคน เพราะเชื่อว่าเสียงแคนสามรถติดต่อกับเทวดาได้ โดยจะใช้การบรรเลงลายใหญ่ประกอบกับการฟ้อนรำ
2. ศิลปการแสดงและดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้
กลุ่มอีสานใต้นี้จะมีการสืบทอดวัฒนธรรมจาก 2 กลุ่มด้วยกันกล่าวคือ กลุ่มที่หนึ่ง กลุ่มวัฒนธรรมไทย-เขมร ไทย-ส่วย และไทย-ลาว ได้แก่ ประกรส่วนใหญ่ในจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีษะเกษ กลุ่มนี้จะสืบทอดวัฒนธรรม ไทย-เขมรทั้งภาษาและศิลปการแสดง และกลุ่มวัฒนธรรมไทย-โคราช ได้แก่ประชากรส่วนใหญ่ใน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจะสืบทอดวัฒนธรรม ภาษาและศิลปการแสดงแบบไทย - โคราชซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตน
2.1 เครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้ซึ่งจะแบ่งตามลักษณะของเครื่องดนตรีอีสานเหนือและมาตรฐานนิยมทั่วไปได้ 4 ประเภทอันประกอบไปด้วยเครื่องดีด- พิณกระแสร์เดียว คือ พิณสายเดียวกะโหลกทำด้วยลูกน้ำเต้า - พิณจะเปย เป็นพิณ 2 สาย 3 สาย หรือ 4 สาย- อังกุ๊ยจ์ ทำด้วยไม้ไผ่เวลาดีดต้องสอดไว้ในปาก เหมือนกับ หุน ของชาวอีสานเหนือ
เครื่องสี- ซอกันตรึม หรือเรียกว่า ตรัว ทำด้วยไม้ไผ่กลองเสียงทำด้วยหนังงูเหลือมมีช่องเสียงรูอยู่ตรงข้าม หน้าซอรัดด้วยเชือก- ซออู้หรือ ตรัวอู้ เป็นเครื่องสายใช้สี กล่องเสียงหรือกะโหลกซอจะทำด้วยกะลามะพร้าวหุ้มด้วยหนังคันซอทำด้วยไม้ไผ่สายทำด้วยลวด คันชักทำด้วยไม้ขึงเอ็นเครื่องตี- ระนาดเอก สันนิษฐานว่าได้รับอิทพลจากของภาคกลาง- ซอวง ทำด้วยโลหะหล่อขนาดต่างๆกันจำนวน 16 ลูก ที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือฆ้องวงใหญ่- ฆ้องราง ทำด้วยโลหะหล่อขนาดต่างๆ กัน จำนวน 9 ลูก ผูกด้วยเชือกหนังแขวนว้กับราง- ฆ้องหุ่ย เป็นฆ้องใบเดียวขนาดใหญ่ ทำด้วยโลหะมีปุ่มตรงกลาง- กลองกันตรึม ทำด้วยไม้ขนุน ขึงหนังหน้าเดียวตึงด้วยเชือก 1 ชุดมี 2 ลูก คือตัวผู้กับตัวเมีย- กลองตุ้มตึ เป็นกลอง 2 หน้าขนาดใหญ่- กลองลำมะนา - กลองตะโพน- ฉิ่ง- ฉาบเครื่องเป่า- ปี่อ้อ ทำด้วยไม้อ้อหรือไม้ไผ่ มีรูบังคับ 7รู- ปี่เญ็นหรือปี่เตรียงหรือปี่ปุ๊ก เป็นปี่ลิ้นเดียว ทำด้วยโลหะ- ปี่อังโกง- ปี่ไฉน เป็นปี่ลิ้นคู่ ลิ้นทำด้วยใบตาลสวมต่อกับเลาที่ทำด้วยไม้ไผ่- เขาควาย เป็นปี่ที่ทำด้วยเขาควาย เป็นเครื่องเป่าประเภทลิ้นเดียว กล่องเสียงทำจากเขาควาย- แคน
2.2 ลักษณะการผสมวงของเครื่องดนตรีอีสานใต้ สามารถแยกประเภทของวงออกดังนี้- วงตุ้มโมง เป็นวงพื้นบ้านที่เล่นในเขต จังหวัดสุรินทร์ มักจะนิยมเล่นในงานศพ สำหรับส่วนประกอบของเครื่องดนตรีในวงตุ้มโมงจะประกอบไปด้วย ฆ้องหุ่น 1 ใบ กลองเพลขนาดใหญ่ 1 ใบ ปี่ไฉน หรือปี่อ้อ 1 เลา ฆ้องวง 1 วง ฆ้องราง 1 วง - วงกันตรึม เป็นวงพื้นบ้านที่นิยมเล่นในงานมงคล ซึ่งส่วนประกอบของเครื่องดนตรีในวงกันตรึมประกอบไปด้วย กลองกันตรึม 2 ใบ ปี่อ้อ 2 เลา ปี่สไน 1 เลา ซอ 1 คัน ฉิ่ง 1 คู่ กรับ 1 คู่ ฉาบ 1 คู่- วงมโหรี เป็นลักษณะนามของวงมโหรีอีสานใต้ จะเป็นวงดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีไทยภาคกลาง และเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาผสมกัน บางท้องถิ่นเรียก วงเครื่องแปด หรือพิณพาทย์ โดยมีเครื่องดนตรีประกอบดังนี้ ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ กลองทัด กลองสองหน้า หรือ ตะโพน ซอด้วง ซออู้ พิณ สไน กลองกันตรึม ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง
2.3 ศิลปะการแสดงพื้นบ้านอีสานใต้สำหรับศิลปะการแสดงของกลุ่มคนอีสานมีมากมาย โดยจะเลือกยกตัวอย่างพอให้มองเห็นภาพกว้างได้ดังนี้ 1. เรือมอันเร เรือมอันเร แปลว่า รำสาก เป็นการละเล่นที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของชาวอีสานใต้ การละเล่นเรือมอันเร เป็นการเล่นในวันหยุด งานประจำปีของชาวสุรินทร์ ในอดีตจะถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวสุรินทร์ เรียกว่าวันตอม ลักษณะการแสดงเรือมอันเร จะเป็นการฟ้อนคู่ระหว่างหนุ่มสาว( ลักษณะคล้ายลาวกระทบไม้) เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง ได้แก่ ปี่ 1 เลา กลองโทน 1 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ และสาก 1 คู่ ส่วนเพลงที่ใช้บรรเลงจะไม่จำกัด สำคัญที่ว่าการเคาะสากให้เป็นจังหวะกับจังหวะฟ้อนรำ การละเล่นเรือมอันเร ก่อนการแสดงต้องมีการบรรเลงของวงดนตรีกันตรึมก่อนเพื่อเป็นไหว้ครู อาจารย์ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ผู้แสดง2. ระบำรำกรับ ส่วนมากใช้ผู้ชายแสดง การแสดงชุดนี้จะใช้มือตีกรับทั้งสองออกร่ายรำขับร้องประกอบจังหวะ กระทบกันของกรับ ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า จั๊กตาลอก3. เรือมมม็วต (รำแม่มด ) เป็นประเพณีการเล่นในพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ของชาวสุรินทร์ใช้สำหรับบำบัดการเจ็บไข้ได้ป่วยให้ทุเลาเบาบางเพื่อหายจากโรคภัยไข้เจ็บคล้ายกับการลำผีฟ้าของทางอีสานเหนือ ซึ่งเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการบรรเลงจะมี กลองกันตรึม ตะโพน 1 ใบ ซออู้ขนาดกลาง 1 คัน ปี่อ้อ 1 เลา ปี่ชไน 1 เลา ฉิ่ง 1 คู่ แคน 1 ตัว4. เรือมอาไย เป็นการแสดงอย่างหนึ่งของชาวอีสานใต้ที่ได้รับอิทธิมาจากเขมร ลักษณะจะเป็นการร้องรำโต้ตอบด้วยกลอนลำเกี้ยวพาราสี ระหว่างหนุ่มสาว ในเทศกาลต่างๆ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง มี กลองกันตรึม 1-2 ใบ ปี่สไน 1 เลา ซออู้หรือซอด้วง 1-2 คัน กรับ 1-2 คู่ ฉิ่ง 1 คู่ ขลุ่ย 1 เลา5. เรือมกโนปติงต็อง เป็นการละเล่นเลียนแบบท่าธรรมชาติของตั๊กแตนตำข้าวประกอบเพลงเพื่อความสนุกสนาน เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงมี โทน 2 ใบ ซออู้ขนาดกลาง 1 คัน ปี่ชลัย 1 เลา ฉิ่ง 1 คู่ กรับ 1 คู่6. ลิเกเขมร เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่มีการแสดงเหมือนลิเกทั่วไป โดยจะมีโรงแสดง ตัวแสดง การแต่งกายตามลักษณะและบทบาทของตัวละครในเรื่อง เช่น เป็นฤาษี ยักษ์ ลิง และแบบแผนที่นิยมกันในการแสดงมักจะทำเป็นโขน 3 หัวแต่ปิดหน้าไว้มีบทร้องประกอบและบทเจรจา ส่วนเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบมี ซออู้ขนาดกลาง ปี่ใน กลองรำมะนา 2 ใบ และมีเครื่องประกอบจังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ
2.4 การแสดงกลุ่มวัฒนธรรมไทย โคราช การแสดงของคนกลุ่มโคราชจะแยกย่อยแตกต่างจากวัฒนธรรมอีสานใต้ทั่วไป ซึ่งการที่ค่อนข้างจะเด่นของกลุ่มวัฒนธรรมนี้ คือเพลงโคราช อันเป็นศิลปะการละเล่นพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวจังหวัดนครราชสีมามีลักษณะเป็นเพลงประเภทเพลงปฏิพาทย์โดยมีการร้องโต้ตอบกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ฝ่ายละ 2-3คน ผู้ร้องเพลงโคราชเรียกว่า หมอเพลง มีผู้ร้องนำแต่ละฝ่าย เป็น พ่อเพลง แม่เพลง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอเพลงโคราชนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบชั้นเชิงในโวหารศิลปิน เชิงศิลปะของการลำนำในบทประพันธ์ที่เป็นกาพย์ กลอน โดยมีลักษณะเด่น ของการสัมผัสใน สัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ และอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นคนช่างสังเกต โดยใช้ถ้อยคำธรรมดาง่ายๆ สัมผัสกัน และพยายามจดจำสะสมการผูกประโยคและสร้างคำขึ้นไว้และนำมาประดิษฐ์ให้ยืดยาวขยายออกไปภาษาที่ใช้ร้องนิยมใช้ภาษาถิ่นโคราชบ้างคำภาษาไทยกลางบ้างโดยคงสำเนียงโคราชดั้งเดิมไว้โดยเนื้อหาของเพลงโคราชนั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องทางศาสนา ความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของเรื่องราวต่างๆ ซึ่งการแสดงเพลงโคราชนั้น มีลักษณะพิเศษกว่าการแสดงอื่นๆ ตรงที่เพลงโคราชไม่ต้องใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบจะใช้เฉพาะการตบมือเท่านั้นทั้งนี้สำหรับการฝึกหัดที่จะเป็นพ่อเพลงแม่เพลงนั้น ก่อนฝึกหัดผู้เรียนจะต้องไหว้ครูโดยมีบายศรี หมากพลู บุหรี่ ธูปเทียน ดอกไม้ ผ้าขาวและเงิน 25 บาท เสร็จแล้วผู้เรียนจะต้องจดเพลงไปท่องให้ได้ แล้วไปร้องให้ครูฟังซึ่งผู้ที่จะเป็นหมอเพลงได้ต้องได้รับการฝึกหัดจากครูจนชำนาญ จะต้องท่องจำบทเพลงได้ประมาณ 400 บท และจะต้องใช้เวลาฝึกหัดอยู่ประมาณ 2 ปีเป็นอย่างน้อย จึงจะสามารถออกแสดงได้นอกจากนี้จากการที่ชาวอีสานได้ยึดมั่นและเชื่อเทิดทูนพระคุณของครูบาอาจารย์ ดังนั้นในการที่จะเรียนรู้ทั้งการ ทำเครื่องดนตรีหรือการแสดงต่างๆนั้น จึงจำเป็นต้องมีการไหว้ครูตามธรรมเนียมปฏิบัติ เช่น กรณีของการทำแคนนั้น ผู้ที่จะเข้าไปขอให้ครูแคนสอนนั้น ต้องไปฝากตัวเป็นศิษย์และขอยกครู โดยจะมีการเลือกวันที่เชื่อว่าเป็นศิริมงคล การยกครูหรือคาย(พิสฎฐ์ บุญไชย.2541: 14)จะมีดังนี้- ผ้าชิ้น 1 ผืน- ผ้าแพรขนาด 1 วา 1 ผืน- เหล้า 1 ก้อง(ขวด)- ไข่ 1 ฟอง- เงิน ถ้าจะเรียนแคนจะเป็นเงิน 6 บาท ค่าแคนเล็กจะ 4 บาท- ขันธ์ 5 - เครื่องประดับสตรี คือ ขจรเงิน(ตุ้มหู) ก้องแขนเงิน(กำไลเงิน) แหวนเงิน - เครื่องแต่งตัวสตรี คือ ต้องผม(เส้นผมสตรีที่ตัดเป็นจุกมัดรวมกัน)- กระจกเงา- หวี- เครื่องใช้ในการทำแคน คือ สิ่ว เหล็กซี
ซึ่งการยกครูนั้น จะต้องทำพิธีเพื่อยกครูโดยผู้เรียนที่ขอสมัครเป็นศิษย์ จะกล่าวคำยอยกครูให้มีความหมายเทิดทูล เมื่อครูรับเครื่องยกครูแล้วจะถือว่ารับเป็นศิษย์ ซึ่งคุณสมบัติที่เหมาะสมทั้งนี้มีความเชื่อว่าหากปีใดที่ว่างเว้นจากการทำแคน จำเป็นต้องไหว้ครูเพื่อให้ระลึกถึงครูและจะทำให้ไม่ลืมวิชาการทำแคน ซึ่งเครื่องไหว้ครูในช่วงนี้จะประกอบด้วย ขันธ์ 5 ดอกไม้ 1 คู เทียน 4 เล่ม โดยจะทำพิธีไหว้ในวันอังคาร โดยจะกล่าวคำบูชาและระลึกถึงครู นอกจากนี้สำหรับคนที่ฝึกทำแคนใหม่ก่อนลงมือทำต้องมีการไหว้เครื่องมือทุกครั้ง และในส่วนของคะลำหรือข้อห้ามนั้น เชื่อว่า ห้ามมิให้ผู้ชายเดินข้าม นั่งทับเครื่องมือทำแคนทุกชนิด แต่สำหรับผู้หญิงไม่ห้าม เพราะทั้งนี้ถือตามตำนานว่าผู้หญิงคือครูทำแคนคนแรก ซึ่งเชื่อว่าเป็นแม่หม้ายดังที่กล่าวข้างต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องดนตรีและศิลปะการแสดงกับความเชื่อและอุดมการณ์ของคนอีสาน
สำหรับมิติทางประวัติศาสตร์แนวดิ่งตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงเทพฯตอนต้นลงมา(ประมาณ พ.ศ.2302-2432)นั้น จะเห็นว่าความสัมพันธ์ของหัวเมืองภาคอีสานกับรัฐส่วนกลางที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้นค่อนข้างมีอยู่อย่างเบาบาง ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบการเสียส่วยสาอากร ภาษี การเกณฑ์แรงงานและกำลังพลเท่านั้น ความแตกต่าง-แปลกแยกกับศูนย์กลางของรัฐยังปรากฏเห็นชัดเจน เนื่องจากความแตกต่างทางสภาพของสังคมวัฒนธรรม การเมืองการปกครองซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงหรือเหมือนกับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมากกว่า ดังนั้นความสำนึกในเชื้อชาติต่อรัฐศูนย์กลางจึงค่อนข้างดูเบาบาง ความเป็น "เขา-เรา" จึงมีมากกว่า ดังนั้นในช่วงหลังตั้งแต่ต้นกรุง รัตนโกสินทร์เป็นลำดับมา โดยเฉพาะหลังกรณี "เจ้าอนุวงศ์" (พ.ศ. 2369-2371) และได้ส่งผลถึงค่านิยมหรือวาทกรรมบางส่วนในปัจจุบันจึงปรากฏความคิดของผู้ปกครองส่วนกลางต่อคนภูมิภาคนี้ในลักษณะเหนือกว่า ดูหมิ่น โดยมองคนอีสานเป็นกลุ่มคนที่ด้อยกว่า เหมือนดังพลเมืองชั้นสอง มีความแตกต่างแปลกแยกจากคนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคนละกลุ่ม
ดังนั้นจึงปรากฏนโบายต่างๆที่ทางส่วนกลางนำมาปฏิบัติต่อภูมิภาคดังกล่าวและส่งผลถึงปฏิกิริยาที่คนภาคอีสานแสดงออกต่อรัฐและรัฐกระทำต่อภูมิภาคนี้ในช่วงเวลาต่างๆทั้งนี้การปกครองหัวเมืองภาคอีสานก่อนพ.ศ. 2433นั้น ได้ถือตามฮีตคองโบราณสืบต่อกันมาแต่หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ แม้ว่ารัฐศูนย์กลางในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีอำนาจแพร่เข้าปกครองยังอนุโลมให้ใช้ประเพณีดังกล่าวอยู่ โดยตำแหน่งการปกครองเรียกว่า"คณะอาญาสี่"ประกอบไปด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ครั้นในปี พ.ศ. 2433 ด้วยทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ไม่ว่าภัยจากลัทธิล่าอาณานิคมจากตะวันตก โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ได้เข้ามายึดครองดินแดนใกล้เคียงแถบลุ่มน้ำโขงรวมทั้งบางส่วนของสยามตั้งแต่พ.ศ. 2431-2446 และเพื่อความมั่นคงในการดึงอำนาจมาส่วนกลางเพื่อควบคุมหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลทั้งนี้จากเหตุผลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ จึงได้มีการเข้ามาเกี่ยวข้องกับหัวเมืองอีสานมากขึ้น โดยจะเห็นนโยบายของทางรัฐศูนย์กลางที่เข้ามาในช่วงเวลานั้น
การดำเนินการของรัฐส่วนกลางต่อภูมิภาคนี้ เริ่มปรากฏชัดเจนและต่อเนื่องในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยจะนำมาลำดับให้เห็นถึงนโยบายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2433 โดยได้เริ่มมีการรวมหัวเมืองอีสานเข้าด้วยกันแล้วจัดออกเป็น 4 กองใหญ่โดยทรงส่งข้าหลวงใหญ่ไปกำกับดูแล จนกระทั่งได้เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2436 ประชาชนฝั่งขวาจึงถูกเรียกจากกรุงเทพฯว่า"ชาติลาวบังคับสยาม" (สีลา วีระวงส์.2535:หน้า 169) ดังนั้นชาวลาวสองฝั่งโขงจึงถูกแยกออกจากกันเป็นคนละประเทศตามเงื่อนไขทางการเมืองนับตั้งแต่นั้น ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2442 ทรงได้มีการยกเลิกประเพณีการปกครองแบบเจ้าประเทศราช ถวายดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการปกครองที่ล้าสมัยหากคงไว้จะเป็นภัยแก่บ้านเมือง และให้เปลี่ยนชื่อมณฑลใหม่โดยตัดคำว่า 'ลาว' ออก ทั้งนี้เพราะจะหมายถึงคนต่างชาติ ทำให้ไม่มีความเป็นเอกภาพ เนื่องเพราะบัดนี้กลุ่มต่างๆเป็นคนไทยเหมือนกัน มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน มีอาณาเขตแน่นอนอันเดียวกัน มีความเป็น 'ชาติ' เดียวกัน
จะเห็นความพยายามของรัฐที่จะเข้ามาควบคุมดูแลหัวเมืองอีสาน เพื่อดึงอำนาจมายังส่วนกลางนั้น ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมปรับปรุงนโยบายอยู่ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่พ.ศ. 2433-2476 ตามปัจจัยบริบทแวดล้อม ซึ่งนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญแก่หัวเมือง/ภาคอีสานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นนโยบายในแบบที่เรียกว่ารัฐชาติ(Nation State) โดยได้มีการดำเนินการในหลายรูปแบบ เพื่อสร้างมโนภาพของ "ชาติ" และสร้าง "รัฐ"ขึ้นมาบริหารจัดการ ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวรายละเอียดเพราะปรากฏมีผู้ศึกษาไว้จำนวนมาก, ซึ่งรูปแบบที่ทางรัฐนำเข้ามาทั้งนโยบายการเมืองการปกครอง เพื่อครอบงำทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรมดังกล่าวข้างต้น ตั้งแต่การเก็บภาษี คือการเสียหัวคนละ 4 บาท(ปี พ.ศ. 2475 ลดเหลือ 2 บาทและมายกเลิกในปี พ.ศ. 2482 โดยมาเก็บภาษีบำรุงท้องที่แทน) ภายหลังยังมีการเก็บเงินศึกษาพลี คนละ 2 บาท(ยกเลิกปี พ.ศ. 2473) ถ้าบุคคลใดไม่มีจ่ายต้องถูกลงโทษมาทำงานโยธาแทน รวมทั้งเกณฑ์แรงงานที่มีรูปแบบไม่แน่นอน เช่น การเกณฑ์ไปขุดบึงพลาญชัย การเกณฑ์ไปสร้างถนนเชื่อมเมืองต่างๆทั้งใกล้และไกล(สุวิทย์ ธีรศาศวัต และคณะ.2528:244-251)โดยต้องเตรียมเสบียงไปเอง, และการเผยแพร่ควบคุมในรูปแบบต่างๆ เช่น นำพุทธศาสนาแบบธรรมยุตินิกายเข้ามาโดยสร้างวัดสุปัฏนารามที่อุบลราชธานีเมื่อปี พ.ศ. 2396 และทะยอยสร้างวัดธรรมยุตินิกายเพิ่มขึ้นภายหลังเช่น วัดศรีทอง วัดสุทัศนาราม วัดไชยมงคล( เติม สิงห์ษฐิต.2499 : 139-140.)เป็นต้น
ผลจากนโยบายต่างๆข้างต้นนั้น ได้เกิดปฏิกิริยาจากคนในภาคอีสานมาตลอดทั้งทางตรงและอ้อม ตั้งแต่การเคลื่อนไหวที่เรียกว่า ผู้มีบุญ(พ.ศ. 2444-2445)หรือผีบุญดังที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์ทรงใช้เรียกปรากฏการณ์ทางสังคมที่แพร่ขยายไปทั้งหัวเมืองอีสานดังกล่าว และถูกปราบจากทางรัฐอย่างรวดเร็วเนื่องจากความสะดวกที่ได้รับจากรถไฟสายแรก ซึ่งการลงโทษมีทั้งการทำทัณฑ์บน จำคุกและประหารชีวิต
แม้กระนั้นภายหลังจากนั้นยังปรากฏขบวนการต่อต้าน ขัดขืนอำนาจรัฐในรูปแบบดังกล่าวมากมาย ซึ่งพัฒนาการของการต่อต้านนั้นมีมาตามลำดับตั้งแต่อดีตทั้งที่ได้ถูกบันทึกและไม่ได้บันทึก ซึ่งสามารถเรียกรวมๆว่ากบฏชาวนา เช่น กบฏบุญกว้าง(พ.ศ.2242) กบฏเชียงแก้ว(พ.ศ.2334) กบฏสาเกียดโง้ง(พ.ศ.2358-2362) กบฏผู้มีบุญ(พ.ศ.2444-2445) กบฏหนองหมากแก้ว(พ.ศ.2467) กบฏหมอลำน้อยชาดา(พ.ศ.2479) กบฏโสภา พลตรี(พ.ศ. 2486) กบฏสามโบก หรือกบฏศิลา วงษ์สิน(พ.ศ. 2502) เป็นต้น ที่สืบเนื่องกันมาต่างกรรมต่างวาระจุดมั่งหมายแตกต่างกันทั้งจากปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยมีวิธีการที่คล้ายคลึงกันคือผู้นำจะอ้างตัวว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ มีเวทมนตร์คาถา และการยกความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง การอ้างว่าจะเกิดกลียุค โดยเฉพาะการถวิลหาโลกอุดมคติในแผ่นดินพระศรีอาริย์ ในส่วนของภาคอีสาน-คนลาวนั้นปรากฏในวรรณกรรมหลายเล่ม เช่น เทศน์คาถามาลัยหมื่นมาลัยแสน กาพย์สอนปู่ กาพย์วิฑูรบันฑิต คำกลอนสอนโลก และพญาอินทร์โปรดโลก เป็นต้น มีการเล่าเผยแพร่ในเทศกาลบุญประเพณีต่างๆ รวมทั้งนำมาแต่งเป็นกลอนผ่านสื่อ กลอนลำ ผญาภาษิต ดังนั้นจึงปรากฏว่า สื่อที่ทำงานได้ผลในการปลุกระดมคนคือ หมอลำ
นอกจากนี้ยังเน้นอุดมการณ์ทางชาติพันธุ์โดยเฉพาะช่วงหลังตั้งแต่กบฏผู้มีบุญ(พ.ศ.2444-2445) โดยกลับมารื้อฟื้นศูนย์กลางเวียงจันทน์ที่เชื่อว่าจะรุ่งเรืองอีกครั้งในอนาคต ไม่ต้องมาเป็นข้าไทยอีกต่อไป เป็นการแสดงถึงการต่อสู้ทางความคิด อุดมการณ์ อำนาจเท่าที่สามารถกระทำได้ในเงื่อนไขเวลานั้น ด้วยการผลิตวาทกรรมของตนขึ้นมาเพื่อหาพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของตนเอง แต่ปัจจัยสำคัญคือความศรัทธาในความเชื่อต่อผู้มีบุญ อำนาจวิเศษ และความยากจน ส่วนประเด็นการเมืองนั้นมีปรากฏบ้างในบางกลุ่ม เช่น กรณีที่เมืองขุขันธุ์ และเมืองเขมราฐ เป็นต้น
มิเช่นนั้นคงไม่เชื่อถือกันเป็นเรื่องจริงจังถึงกับแห่กันไปเก็บกรวดเก็บหินที่เสลภูมิ(บริเวณด้านเหนือวัดป่าหัวโล่(คุ้มเมืองเก่า)ตั้งอยู่ทิศตะวันตกวัดมิ่งเมืองฯริมบึงโดน -ผู้เรียบเรียง)กันมากแต่ละวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า300-400 คน มาเก็บไว้เพราะอยากได้เงินได้ทอง และบางคนต้องอพยพออกไปประกอบอาชีพที่อื่น เช่น รับจ้างทำบ่อพลอยที่พระตะบอง หรือรับจ้างทำนาแถบภาคกลางที่เรียกว่ามณฑลชั้นในเนื่องจากขาดแคลนแรงงาน ได้แก่มณฑลกรุงเทพฯ มณฑลกรุงเก่า มณฑลนครชัยศรี มณฑลปราจีนบุรี ซึ่งต้องจ้างแรงงานอีสานไปบุกเบิกจนกลายเป็นทุ่งนาเช่นทุกวันนี้ ซึ่งบางครั้งต้องประสบกับการถูกเอาเปรียบจากนายจ้างจนลูกจ้างชาวอีสานไม่ไปทำนาให้และปล่อยให้เป็นนาร้าง ซึ่งส่งผลแก่กิจการของประเทศ จนกระทั่งต้องทรงมีประกาศยกเว้นลูกจ้างอีสานที่ไปรับจ้างทำนาในภาคกลางไม่ต้องเข้ารับราชการตามพ.ร.บ.ลักษณะเกณฑ์ทหาร รศ.124(พ.ศ.2448) วิกฤตการณ์ดังกล่าวจึงคลี่คลายลงบ้าง(อภิศักดิ์ โสมอินทร์.2533: 8.) หรือไปเป็นตำรวจภูธรในกรุงเทพฯเพื่อให้ได้เป็นตัวเงิน ประกอบกับโจรผู้ร้ายชุกชุม มีคดีปล้นฆ่ามาก อย่างกรณีเมืองขุขันธุ์ตามรายงาน 1 ปีนั้น ได้มีคดีการปล้น 30 ตำบล ฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย 26 คน เป็นต้น
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แม้เรื่องของภาคอีสานจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในส่วนกลางมากขึ้น โดยผ่านทางรัฐสภาของสมาชิกผู้แทนราษฎรในช่วงนั้นมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงในด้านรูปธรรมของภาคอีสานยังต่ำอยู่ และไม่ใคร่แตกต่างจากอดีตนัก กล่าวคือเป็นเพียงภูมิภาคที่สนับสนุนการเติบโตของรัฐ เช่น เป็นพื้นที่ปลูกผลิตผลทางการเกษตรที่ตลาดและประเทศต้องการ และเป็นเพียงวาทกรรมที่ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐมักจะนำมาหยิบอ้างเป็นเครื่องมืออยู่เสมอ โดยเฉพาะภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง(พ.ศ.2488) ผลกระทบจากกระแสความแตกต่างทางลัทธิการเมืองที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นนั้นได้สร้างความวิตกกังวลแก่ผู้บริหารประเทศในแต่ละช่วงเวลามาโดยตลอดโดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2490 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศอย่างยิ่งนั้นคือลัทธิคอมมิวนิสต์รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองด้วย ซึ่งได้แผ่ขยายทะลักเข้าสู่ประเทศข้างเคียงอย่างน่าตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเขมรซึ่งทางรัฐบาลพนมเปญได้ประกาศยอมแพ้ และเขมรแดงได้เข้ายึดอำนาจแทนในวันที่ 17 เมษายน 2518ส่วนเวียตนามนั้น ที่เมืองไซง่อน อันเป็นศูนย์กลางสำคัญของเวียตนามใต้ได้ถูกตีแตกในวันที่ 30 เมษายน 2518 สงครามครั้งนี้อเมริกาต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ด้วยความปราชัยส่วนประเทศลาวนั้นมีทีท่าว่าจะถูกกลืนตามไปด้วยในไม่ช้า และเมื่อประเทศดังกล่าวนั้นได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบสังคมนิยม ทำให้ระบบโครงสร้างการปกครองและสังคมเก่าๆได้ถูกรื้อถอนหมดสิ้น เมื่อสถานการณ์ของการเมืองในภูมิภาคเป็นดังที่กล่าวจึงสร้างความวิตกกังวลและความพรั่นพรึงแก่ประเทศใกล้เคียงอย่างประเทศไทยอย่างมาก
ดังนั้นกระแสภัยคอมมูนิสต์ที่เข้มข้นมาโดยตลอดตั้งแต่วันแห่งปืนแตกในปีพ.ศ. 2508 เป็นต้นมา สงครามประชาชนได้เริ่มแพร่ขยายวงกว้างมาตามลำดับ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กอปรกับสถานการณ์รอบข้างของประเทศเพื่อนบ้านทำให้กระแสความกลัวภัยคอมมูนิสต์จึงยิ่งโหมกระพือมากยิ่งขึ้น รัฐบาลได้นำมาตรการต่างๆออกมาใช้ในประเทศ และทวีความรุนแรงเข้มข้นหนักหน่วงมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเกิดความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ความแตกต่างของลัทธิการเมืองทำให้ภาคอีสานได้เพิ่มความสำคัญมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ในช่วงของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์(พ.ศ. 2501 - 2506) ภาคอีสานได้เป็นภูมิภาคสำคัญในการผลิตวาทกรรมการพัฒนาขึ้นมา นโยบาย แผนงาน หน่วยงานต่างๆเข้าสู่ภาคอีสานจำนวนมาก แต่กระนั้นภาคอีสานยังเป็นภูมิภาคที่หมิ่นแหม่ต่อภัยของความแตกต่างทางลัทธิการเมือง หลายจังหวัดถูกจัดเป็นพื้นที่สีแดง/สีชมพู และใช้กำลังในการตัดสินปัญหา เช่น กรณีทหารบุกเผาทำลายบ้านนาทราย อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคายยกหมู่บ้าน มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมจำนวนหนึ่งเมื่อปลายเดือนมกราคม 2517 โดยกล่าวหาว่าราษฎรเป็นคอมมิวนิสต์(ชาญวิทย์ เกษตรศิริ.2542 :212-213.) เป็นต้น จนกระทั่งถึงขั้นแตกหักดังปรากฏบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ไทย คือกรณี '6 ตุลา', และภายหลังรัฐบาลต่อมาได้ประกาศใช้นโยบายการเมืองนำการใช้กำลังทหาร ทั้งนี้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว โดยเปลี่ยนจากแนวทางในการต่อสู้ด้วยอาวุธมาเป็นการสู้ในแนวทางสันติ ดังปรากฏในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 และ 65/2525 (เฉลิมเกียรติ ผิวนวล.2535:ภาคผนวก)เป็นต้น ที่รัฐทะยอยนำออกมาใช้ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองและภูมิภาค
ซึ่งจากที่กล่าวโดยสังเขปข้างต้นนั้นจะเห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ได้คลี่คลายและตกทอดปรากฏร่องรอยบางส่วนในปัจจุบัน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนในพื้นที่ภาคอีสานหรือที่มักเรียกว่า "คนลาว"กับศูนย์กลางอำนาจ ซึ่งการเล่าเรื่องราวของคนอีสานโดยเฉพาะคนในอดีตนั้นมักจะเท้าความประวัติศาสตร์ตนเองผ่านศิลปะการแสดงต่าง ๆ เช่น หมอลำ เสียงพิณ เสียงแคน ส่วนหนึ่งเพื่อระบายถ่ายทอดและปลอบประโลมตนเอง นอกจากนี้ในอดีตนั้นการนำการละเล่นศิลปะการแสดง โดยเฉพาะหมอลำเป็นสื่อในการถ่ายทอดอุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อที่จะต่อต้านอำนาจภายนอกหรืออำนาจที่เข้ามาบังคับและกดดัน ดังที่ปรากฏคือ กบฎผู้มีบุญในปี พ.ศ. 2444-2445
รวมทั้งปรากฏการณ์ผู้มีบุญต่าง ๆ ในภายหลัง เช่น กรณีหมอลำน้อยชาดา ในปีพ.ศ. 2479 ซึ่งเจ้าตัวคือผู้ดำเนินการเป็นหมอลำ และใช้ความสามารถด้านนี้เผยแพร่แนวความคิดอุดมการณ์ของตนเอง นอกจากนี้ในกรณีผู้มีบุญที่หนองหมากแก้ว จังหวัดเลย เมื่อพ.ศ. 2467 ซึ่งได้ใช้กลอนลำเป็นเครื่องถ่ายทอดเพื่อปลุกเร้เาจิตสำนึกด้านเชื้อชาติของชาวบ้าน ที่มีความหมายให้ระลึกถึงความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตของอาณาจักรล้านช้าง ความเจ็บปวดในคราวการเผาเวียงจันท์เมื่อเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์ และสร้างความหวังว่าต่อไปนี้ชาวบ้านคนอีสาน (คนลาว) จะไม่ต้องเดือดร้อนลำบากเพราะคนไทยอีกแล้วขอให้อดทน โดยทำนายว่าต่อไปเมืองเวียงจันท์จะรุ่งเรืองเหมือนเดิม ชาวบ้านจะสมบูรณ์พูนสุขและเป็นอิสระจากไทย อันเป็นความใฝ่ฝันเชิงอุดมการณ์เพื่อปลอบประโลมความเป็นจริงในขณะนั้น ซึ่งกลอนคำที่ปรากฏมีความว่า(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคณะ.2524: 269-270.)
" เดือนสามคล้อยคอยฟังมั่งอี่หม่วนเดือนสี่คล้อยปลายแคนน้อยก่ายกันไหลหลั่งเข้าเวียงแก้งฮุ่งเฮืองให้คืนมาสร้างเมืองทองให้ฮุ่งเมืองทองฮุ่งแล้วเมืองแก้วฮุ่งนำออยเอาซ้างเอาม้าให้กินหญ้าสามใบกับยอดเกิ่งเดิ่งหามองไทยเอยเข่า(ข้าว)ใส่แล้วไผอี่ซ้อมซ่วยตำต่อไปนี้ให้ละวางเชือกไถอีไลเชือกอ้องวางไว้คันนาเห็นว่าเวียงจันท์ฮ้างเซาฮามอย่างเฝ้าว่ามันอี่โป๊มักแตงซ้างหน่วยปลายเดี๋ยวนี้กำลังเป็นผักหมเตี้ยกลางทางอย่าฟ้าวย่ำมันอี่ถอดยอดขึ้นยังอี่ได้ก่ายเกิน"
หากแต่ในมุมมองหรือโลกทัศน์ของผู้ปกครองเมื่อครั้งอดีตกลับมีความคิดที่ต่างออกไป ทั้งนี้หากมองผ่านเครื่องดนตรีและการแสดงละเล่นของคนอีสานนั้น เคยมีกรณีเหตุการณ์เมื่อครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งหากจะพิจารณาแล้วอำนาจการปกครองในช่วงเวลานั้นเมืองสยามมีพระมหากษัตรย์อยู่สองพระองค์คือนอกจากรัชกาลที่ 4 แล้ว ยังมีพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สาม และพระองค์ทรงมีความโปรดปรานเครื่องดนตรีลาว-อีสานอย่างมาก โดยเฉพาะแคน และแอ่วลาว(กลอนลำ) ซึ่งพระองค์ยังสามารถที่จะทรงแคนได้อย่างไพเราะและสามารถพระราชนิพนธ์บทแอ่วลาว คือ"บทอ่านนิทานนายคำสอน"ไว้ด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จเมืองนครราชสีมาในปีพ.ศ.2399 นั้นถึงกับทรงสร้างตำหนักประทับที่บ้านสีทา แขวงเมืองสระบุรี ซึ่งเป็นถิ่นที่มีคนลาวอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งพระองค์มักจะเสด็จมาประทับที่บ้านสีทาเสมอ
นอกจากนี้ยังทรงมีพระมเหสีที่เป็นชาวลาวจากนครราชสีมาหลายองค์ด้วย(ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ.2527) ซึ่งการที่พระองค์ทรงโปรด "ความเป็นลาว" มากขนาดนั้น จนถึงมีการเล่นกันในวังหน้าและเป็นที่นิยมโดยทั่วไปของคนไทยภาคกลางด้วย จนเป็นเหตุให้ความนิยมในวงปี่พาทย์มโหรีลดลง กระทั่งบรรดานายวงผู้เล่นหลายคนต้องประกาศขายเครื่องดนตรีดังกล่าว ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออกประกาศห้ามเล่นแคนและแอ่วลาว เนื่องจาก "..ไม่สู้ควรที่การเล่นอย่างลาวจะมาเป็นพื้นเมืองไทย ลาวแคนเป็นข้าของไทย ไทยไม่เคยเป็นข้าลาวจะเอาอย่างลาวมาเป็นพื้นเมืองไทยไม่สมควร..."(ประชุมประกาศรัชกาลที่4 พ.ศ. 2405-2408.2511:290) ทั้งนี้เนื่องจากเชื่อว่าว่าเครื่องดนตรีของลาวดังกล่าวนั้น เวลาไปเล่นที่ไหนมักจะเป็นเหตุให้ฝนฟ้าไม่ตก ทำให้พืชพันธุ์ข้าวกล้าเสียหายให้ผลผลิตน้อยไม่งอกงาม จึงประกาศงดการเล่นแคน "...ลองดูสักปีหนึ่งสองปี..."
จะเห็นว่าจากที่กล่าวข้างต้นนั้น การนำเครื่องดนตรีมาเป็นสื่อและเป็นสัญลักษณ์เพื่อประโยชน์บางอย่างของผู้ที่ใช้มีอยู่ตั้งแต่อดีตตลอดมาจนถึงปัจจุบัน หากแต่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและเวลาที่เปลี่ยนไป อย่างกรณีนักเล่นการเมืองบางคนอาจจะใช้ดนตรีและการละเล่นพื้นบ้านเป็นสื่อกลางในการเข้าถึงชาวบ้านโดยเฉพาะคนสูงอายุหรือคนตามชนบท เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเชื้อแนวเดียวกัน ให้เกิดสำนึกในความเป็น "ซุม" หรือพวกเดียวกัน และอาศัยประโยชน์จากความสัมพันธ์ดังกล่าวนั้นเข้าสู่ตนเอง เป็นต้น
ที่มา:http://www.aorsocho.org/modules.php?name=activeshow_mod&file=print&asid=38
วัฒนธรรอีสานใต้
ภาพเก่าเล่าเรื่อง เนื่องในวัฒนธรรมอีสานใต้
สวัสดีครับหลังจากห่างหายไปนาน แว้บหายไปเป็นพักใหญ่ มาเป็นพักเล็กๆน้อย ทิ้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นในสังคมอีสานใต้ ให้เพื่อนพี่น้องชาวบล๊อกที่สนใจในมุมมองของสังคมอีสานใต้ได้เข้าใจถึงวัฒนธรรม
ผมเองต้องขออภัยที่ขาดช่วงการนำเสนอเรื่องราวอย่างลึกๆในสังคมวัฒนธรรมไทยเขมรอีสานใต้ ซึ่งทิ้งช่วงไปนานดองงานเก่าไว้เเรมเดือน
มาวันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่สะท้อนออกมาจากภาพถ่ายเก่าๆ คล้ายๆกับว่าเป็นการเล่าเรื่องจากภาพ ซึ่งภาพที่ผมหาได้มาเป็นภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกขึ้นในพิธีวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเขมรอีสานใต้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นทั้งความบังเอิญและการอนุเคราะห์จากญาติผู้ใหญ่ที่สมัยเมื่อ 30 - 25 กว่าปีก่อน การถ่ายภาพบันทึกเหตุการณ์ในพิธีกรรมงานต่างๆเป็นสิ่งที่เจ้าภาพหรือผู้จัดงานเห็นความสำคัญ และเห็นว่าเป็นการบันทึกความทรงจำ สามารถเก็บไว้ให้ลูกหลานดู และยังส่งประโยชน์อีกมากมายที่คาดไม่ถึงเมื่อกาลเวลาแปรเปลี่ยน
เอาเป็นว่ามาทัศนาและทราบถึงทรรศนะภาพเหล่านั้นได้เลยครับ
ต้องขอเรียนก่อนนะว่าภาพทั้งหมดเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ .2518 - 2537ในชุมชนบ้านหัวเสือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ถ่ายโดยช่างกล้องท้องถิ่น ใช้กล้องฟิล์ม ซึ่งในสมัยนั้นทั้งหมู่บ้านมีกล้องดีและช่างภาพฝีมือดีเพียงคนเดียว กล้องถ่ายภาพมีใช้เพียงไม่กี่ตัว ช่างที่บันทึกภาพในงานแต่ละครั้งต้องว่าจ้างจองตัวล่วงหน้า
การถ่ายภาพในสมัยนั้นเป็นที่นิยมไม่แพ้ปัจจุบันแต่ยังแพร่หลายน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบเหมือนในปัจจุบันเพราะกล้องมีใช้เฉพาะคนที่ค่อนข้างมีฐานะ และผู้ที่ว่าจ้างมาถ่ายในงานก็ต้องมีฐานะว่าจ้างมาถ่ายภาพได้
งานใดได้มีการบันทึกภาพเก็บไว้ดูถือเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจแก่ผู้จัดงานหลังเสร็จสิ้นงานนั้นๆเมื่อนำมาดู
ภาพชุดเเรกเป็นภาพเกี่ยวกับการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ในภาษาเขมรเรี่ยกว่า
"เทอบ็อนเลิงปะเตี๊ยะทมัย " ที่เกิดขึ้นในชุมชนคนไทยที่มีเชื้อสายเขมรอีสานใต้ วัฒนธรรมแบบแผนพิธีกรรมยังคงเคร่งครัด ผู้คนสมัครสมานสามัคคี ภาพกลุ่มนี้ถ่ายเมื่อ ประมาณ พ.ศ. 2518

ซึ่งครัวในภาษาเขมรเรี่ยกว่า " กรัว " ซึ่งงานดังกล่าวจะต้องมีกิจกรรมการเข้าครัวหรือภาษาเขมรเรี่ยกว่า " โจลกรัว" ตลอดจนทุกงานไม่ว่าจะเป็นงานใด สังเกตุ พ่อครัว(เอากรัว)กำลังนั่งช่วยกันหั่นเนื้อ ต้มแกง แม่ครัว(แมกรัว)สาละวนกับการเตรียมอาหารปัจจุบันภาพบรรยากาศดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับสมัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพเรี่ยกว่า ปัจจุบันทันสมัยหลายสิบเท่าแต่บรรยากาสความเป็นวัฒนธรรมชุมชน กรัว แบบชุมชนหายไปแทนที่ด้วย กรัว แบบสังคมเมืองมากขึ้น
ภาพที่ 2-3- 4 บรรยากาศที่ใต้ถุนบ้านใหม่ที่ชาวอีสานใต้ใช้ประกอบกิจกรรมขึ้นบ้านใหม่ใต้ถุนบ้านดังกล่าว เป็นสถานที่ใช้ในการหนึ่งที่ชาวไทยเชื้อสายเขมรเรี่ยกว่า " รับพะเยียว" คือ สถานที่รับแขกที่จะมาช่วยงานการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ สมัยก่อนนิยมยึดใต้ถุนบ้านใช้เป็นสถานที่ดังที่กล่าวมา ไม่นิยมกางเต้นเพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีเต้นให้กางการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ใช้สถานที่ไม่มาก ดังเหมือนการประกอบพิธีศพที่ต้องสร้างประรำและพิธีกรรมที่บริเวณลานนอกบ้านของตน



ภายในใต้ถุนบ้านจะมีทั้งเเขกเรือคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นฝ่ายต้อนรับคอบรับแขกที่มาช่วยงานและพบปะพูดคุยสนทนาทำกิจกรรมภายในงานอย่างสมัครสมานสามัคคี และเป็นสถานที่จัดเก็บข้าวสารที่ชาวบ้านทำมาช่วยงาน มีเจ้าพนักงานจดบันทักลงสมุดผู้ที่นำเงินมาช่วยงาน ชาวไทยเชื้อสายเขมรเรี่ยกว่า "จาวบันจี " ต้องมาประจำ ณ สถานที่นี้เสมอ
ภาพที่ 5 เป็นพิธีกรรมฝ่ายสงฆ์ที่เรี่ยกว่า "การโซจจักตึกปะเตี๊ยะทมัย" คือการสวดเจริญพุทธมนต์ขึ้นบ้านใหม่

สังเกตุภาพดังกล่าวจะเห็นถึงองค์ประกอบการจัดวางสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในพิธีกรรมโดยมีทั้งโต๊ะหมู่ในแบบธรรมเนียมของฝ่ายสงฆ์ และบายศรีหรือ บายเสร็ย (สังเกตุบายเสร็ยแบบดังกล่าวหาชมได้อยากมากเพราะปัจจุบันมีวิวัฒนาการเอาอย่างบายศรีแบบวัฒนธรรมลาวและไทย) ในมุมที่มีการเเนะนำจากพราหมณ์
ภาพที่ 6 เป็นพิธีพราหมณ์ โดยการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ที่เรี่ยกว่า "เฮาปลึงจองไดปะเตี๊ยะทมัย"

ภาพที่ 7 หลังเสร็จจากพิธีพราหมณ์แขกผู้มาร่วมงานจะร่วมกันผู้ข้อมือให้แก่เจ้าภาพ หรือที่เรี่ยกว่า "จองได"

สังเกตุว่าพิธีกรรมในภาพที่ 5 - 6 -7 นิยมกระทำขึ้นบนบ้านเท่านั้น ทั้งเพื่อเป้นสิริมงคลแก่บ้านใหม่
ภาพชุดที่ 2 เป็นภาพในงานพิธีแซนการ์หรือจัมเรียบการ์ คืองานเเต่งงาน ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2534 ภาพบรรยากกาศในตอนนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปมากแม้ระยะเวลาไม่กี่ปีเป็นช่วงระยะเวลาที่ผมเองจำภาพเหตุได้เป็นอย่างดี
ภาพที่ 1 เป็นพิธีกรรมการโจลตะซาร คือการเข้าปะรำ เตรียมพิธีกรรมในปะรำซึ่งมีเครือญาติฝ่ายเจ้าสาวเเละเจ้าบ่าวมาพร้อมกันที่ปะรำนับว่าแน่ถนัด จนบางส่วนไปกระจุกันอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน เป็นภาพบรรยากาศที่อบอุ่นและครึกครื้น ที่ปัจจุบันหาดูและสัมผัสแทบจะไม่ได้แล้ว

ภาพที่ 2 เป็นพิธีการเจาะกราบหรือสัมเปี๊ยะ คือการไหว้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ซึ่งจะสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของการจัดพานบายเสร็ยหรือบายศรี ที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว

ภาพที่ 3 เป็นภาพญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายร่วมกันในช่วงพิธี การแซนสแนน คือการเซ่นผีเครือญาติโดยมีเครื่อเซ่นที่เรี่ยกว่า สเเนน

ภาพในพิธีการเเซนการ์ในวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายเขมรอีสานใต้ในช่วงระยะเวลายุคสมัยนั้นมีความเป็นขนบยึดธรรมเนียมปฎิบัติอย่างเคร่งครัดและได้รับความสนใจและให้ความสำคัยเป็นอย่างมาก แม้ความเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการพิธีกรรมเเซนการืได้ขาดหายและลดทอดไปบ้างในปัจจุบันอย่างน่าใจหาย
ภาพที่ 1 เป็นพิธีการขึ้นเทศน์ของพระบนธรรมมาศ หรือ เรี่ยกว่า"โลก เลิงตี๊เลอตเนียส" เป็นพิธีสงฆ์ที่พระชั้นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ ในการขึ้นเทศน์จากคำภีร์ใบลานที่เป็นภาษาเขมรทั้งหมด เป็นพิธีกรรมช่วงบ่ายก่อนการเคลื่อนศพสู่ฌาปนสถาน

ภาพที่ 2 เป็นภาพวงปี่พาทย์ที่ในสังคมเขมรอีสานใต้นิยมว่าจ้างมาบรรเลงร่วมขบวนในพิธีกรรมงานศพ ชาวเขมรเรี่ยกว่าวง "ปินเปียส" หรือ "กวงสกัวร"(ทุ่มโมง)

ภาพที่ 3 เป็นขบวนการเคลื่อนศพมีคนเฒ่าคนแก่ญาติพี่น้องร่วมขบวน เรียกว่า ยัวขม๊อจเจน คือการเคลื่อนขบวนศพนั่นเอง ซึ่งสังเกตุภายในภาพชาวบ้าน ญาติๆ จะจับสายจูงศพ ที่ชาวไทยเชื้อสายเขมรเรี่ยกว่า " กระเเสบลัง"

ภาพสุดท้าย เป็นภาพการละเล่นในวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมรที่เรี่ยกว่า " ลีงอังกุล" คือการทอยสะบ้า เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ เมื่อปี พ.ศ 2533 ในช่วงเทศกาล สงกรานต์หรือ ที่เรียกว่า " เทศกาลจะตึกเปรี๊ยะเลิงชนัมทมัย" การละเล่นดังกล่าวปัจจุบันหายสาบสูญไปจากวัฒนธรรมสังคมเขมรอีสานใต้ไปแล้วโดยปริยาย ซึ่งเป็นที่ น่าเสียดาย

ปัจจุบันภาพเหตุการดังกล่าวสะท้อนความเปลี่ยนเมื่อนำมาเปรียบเทียบในยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งกล่าวได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงขนบที่เคยยึดถือและปฏิบัติได้ลดทอดและเริ่มจะจางหายลงไปทุกทีทุกที ความเป็นวัฒนธรรมเขมรอีสานใต้กำลังจะเป็นเพียงความทรงจำ ถูกแทนที่และเอาอย่างวัฒนธรรมของสังคมเมืองเคลือบคลานเข้ามาอย่างน่าวิตก สิ่งต่างที่เป็นปัจจัยในสังคมวัฒนธรรมอีสานใต้หลายๆด้านกำลังจำอยู่ในทิศทางใดเป็นสิ่งที่ลูกหลานควรให้ความสำคัญและหวงแหนในวัฒนธรรมความเป็นท้องถิ่นของตน
อ้างอิงจาก http://www.oknation.net/blog/yongyoot/2008/04/30/entry-1
ฮีตสิบสอง
สำหรับประเพณีหลักๆ 12 เดือนตามฮีตสิบสองของชาวอีสานโบราณนั้นประกอบด้วย
เดือนเจียง (เดือนอ้าย) มีการประกอบพิธีบุญเข้ากรรม ซึ่งเป็นเดือนที่พระสงฆ์เข้ากรรม (ปริวาสกรรม) เพื่อให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิด ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์ เป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน และมุ่งประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป ชาวบ้านก็จะมีการทำบุญเลี้ยงผีต่างๆ
เดือนยี่ ในฤดูหลังการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะทำบุญคูณข้าวหรือบุญคูณลาน โดยนิมนต์พระสวดมนต์เย็น เพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก รุ่งเช้าเมื่อพระฉันเช้าแล้วจะมีการทำพิธีสู่ขวัญข้าว นอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน
เดือนสาม ในมื้อเพ็ง หรือวันเพ็ญเดือนสาม จะมีการทำบุญข้าวจี่ และบุญมาฆบูชา การทำบุญข้าวจี่จะเริ่มตอนเช้า โดยใช้ข้าวเหนียวปั้นใส่น้ำอ้อยนำไปจี่บนไฟอ่อนแล้วชุบด้วยไข่ เมื่อสุกแล้วนำไป ถวายพระ
เดือนสี่ ทำบุญพระเวสฟังเทศน์มหาชาติ ในงานบุญนี้มักจะมีผู้นำของมาถวายพระ ซึ่งเรียกว่า "กัณฑ์หลอน" หรือถ้าจะถวายเจาะจงเฉพาะพระนักเทศน์ที่ตนนิมนต์มาก็จะเรียกว่า "กัณฑ์จอบ" เพราะต้องแอบซุ่มดูให้แน่เสียก่อนว่าใช่พระรูปที่จะถวายเฉพาะเจาะจงหรือไม่
เดือนห้า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หรือบุญสรงน้ำ หรือบุญเดือนห้า ซึ่งมีขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้า และถือเป็นเดือนสำคัญ เพราะเป็นเดือนเริ่มต้นปีใหม่ไทย การสรงน้ำจะมีทั้งการรดน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยน้ำอบน้ำหอม เพื่อขอขมา และขอพร ตลอดจนมีการทำบุญถวายทาน
เดือนหก ประเพณีบุญบั้งไฟ และบุญวันวิสาขบูชา การทำบุญบั้งไฟเป็นการขอฝน พร้อมกับงานบวชนาค ซึ่งการทำบุญเดือนหกถือเป็นงานสำคัญก่อนการทำนา หมู่บ้านใกล้เคียงจะนำเอาบั้งไฟมาจุดประชันขันแข่งกัน หมู่บ้านที่รับเป็นเจ้าภาพจะจัดอาหาร เหล้ายามาเลี้ยง เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งขบวนแห่บั้งไฟ และรำเซิ้งออกไป ณ ลานที่จุดบั้งไฟ ด้วยความสนุกสนาน คำเซิ้ง และการแสดงประกอบจะออกไปในเรื่องเพศ แต่จะไม่คิดเป็นเรื่องหยาบคายแต่อย่างใด ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีที่จังหวัดยโสธร ส่วนการทำบุญวิสาขบูชานั้น จะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ช่วงเย็นมีการเวียนเทียนเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ
เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ (ล้าง) หรือบุญบูชาบรรพบุรุษ มีการเซ่นสรวงหลักเมือง หลักบ้าน ปู่ตา ผีตาแฮก ผีเมือง เป็นการทำบุญ เพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณ

เดือนแปด ทำบุญเข้าพรรษา ซึ่งเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาโดยตรง ลักษณะการจัดงานจึงคล้ายกับทางภาคอื่นๆ ของประเทศไทย เช่น มีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร มีการฟังธรรมเทศนาตอนบ่าย ชาวบ้านหล่อเทียนใหญ่ถวายเป็นพุทธบูชา และเก็บไว้ตลอดพรรษา การนำไปถวายวัดจะมีขบวนแห่ฟ้อนรำ เพื่อให้เกิดความคึกคักสนุกสนาน ประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเป็นที่จังหวัดอุบลราชธานี
เดือนเก้า ประเพณีทำบุญข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญ เพื่ออุทิศแก่ญาติผู้ล่วงลับ เพื่อบูชาผีบรรพบุรุษ และผีไร้ญาติ โดยชาวบ้านจะทำการจัดอาหาร ประกอบด้วยข้าว ของหวาน หมากพลู บุหรี่ ห่อด้วยใบตองกล้วย ร้อยเป็นพวง เตรียมไว้ถวายพระช่วงเลี้ยงเพล บางพื้นที่อาจจะนำห่อข้าวน้อย เหล้า บุหรี่ แล้วนำไปวางหรือแขวนไว้ตามต้นไม้ และกล่าว เชิญวิญญาณของบรรพบุรุษ และญาติมิตรที่ล่วงลับไปมารับส่วนกุศลในครั้งนี้ ต่อมาใช้วิธีการกรวดน้ำหลังการถวายภัตตาหารพระสงฆ์แทน การทำบุญข้าวประดับดิน นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า
เดือนสิบ ประเพณีทำบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัตร) ตรงกับวันเพ็ญ เดือนสิบ ผู้ถวายจะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใส่ของทาน และเขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้ สลากของใคร ผู้นั้นจะเข้าไปถวายของ เมื่อพระฉันเสร็จแล้วจะมีการฟังเทศน์ เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ผู้ตาย

ประเพณีไหลเรือไฟ เดือนสิบเอ็ด
เดือนสิบเอ็ด ประเพณีทำบุญออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด พระสงฆ์จะแสดงอาบัติ ทำการปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ต่อมาเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทเตือนพระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตนอย่างผู้ทรงศีล พอตกกลางคืนจะมีการจุดประทีป โคมไฟ นำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ในวัดหรือตามริมรั้ววัด จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญจุดประทีป ในจังหวัดนครพนมจะมีประเพณีการไหลเหลือไฟ ซึ่งตกแต่งด้วยตะเกียงน้ำมันก๊าดเป็นรูปต่างๆ สวยงามกลางลำน้ำโขง และมีหลายจังหวัดที่จัดงานแห่ปราสาทผึ้งขึ้น แต่ที่นับว่าเป็นต้นตำรับ และมีความยิ่งใหญ่กว่าที่ใด ก็คือ จังหวัดสกลนคร
และเดือนสิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่า ซึ่งจะมีการทำบุญกองกฐิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรม หนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง แต่ชาวอีสานในสมัยก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกันตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า บุญเดือนสิบสอง สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล จะมีการจัดส่วงเฮือ (แข่งเรือ) เพื่อระลึกถึง อุสุพญานาค บางแห่งจะมีการทำบุญดอกฝ้าย เพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร มีการจุดพลุตะไล และบางแห่งจะมีการทำบุญโกนจุกลูกสาว ซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน ประเพณีทั้งสิบสองเดือน ชาวอีสานโบราณถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบสอง ใครที่ไม่ไปช่วยงานบุญก็จะถูกสังคมตั้งข้อรังเกียจ และไม่คบค้าสมาคมด้วย การร่วมประชุมทำบุญเป็นประจำทำให้ชาวอีสานมีความสนิทสนมรักใคร่ และสามัคคีกัน ทั้งภายในหมู่บ้านของตน และในหมู่บ้านใกล้เคียง สำหรับวันนี้ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ประเพณี 12 เดือนหลายอย่างของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในขณะที่บางประเพณีก็เริ่มสูญหาย ซึ่งหากประเพณีเหล่านี้ไม่มีการสืบต่อหรือไม่มีการอนุรักษ์ไว้ บางทีในอนาคตเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักประเพณีอันดีงามอย่าง"ฮีตสิบสอง"ก็เป็นได้
ที่มา:
1. http://sakonnakhon.cad.go.th/images/mung2009_5.gif
2.http://www.tatubon.org/tatubon/images/SatMarch200810455_CIMG5304-1.jpg
3.http://www.isan.clubs.chula.ac.th/webboard/pic_files/20081021092457.jpg
4.http://www.boybdream.com/manager-news-content2.php?newid=283
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
แกงหน่อไม้
หน่อไม้เป็นต้นอ่อนของไผ่ ไม้ไผ่เป็นทรัพยากรป่าไม้ที่มีค่ายิ่งต่อชีวิตและความเป็นอยู่ประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะชาวชนบทจะมีความสัมพันธ์กับไม้ไผ่อย่างแน่นแฟ้น ทุกส่วนของไม้ไผ่นับตั้งแต่รากถึงยอดจะใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เริ่มตั้งแต่รากฝอยของไม้ไผ่ช่วยยึดติดไม่ให้ดินพังทลาย ต้นอ่อนของไผ่หรือหน่อไม้เป็นอาหารธรรมชาติของคนไทยมาช้านาน เหง้าสามารถนำไปทำเครื่องประดับ กิ่งก้าน มัดรวมกันสามารถใช้ทำเป็นไม้กวาดได้ และลำไม้ไผ่ใช้ทำบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทำเครื่องเรือนทำด้ามเครื่องมือการเกษตร และภาชนะต่างๆ ทำเครื่องดนตรี เครื่องจักรสาน ใช้เป็นวัตถุ ดิบในอุตสาหกรรมผลินเยื่อกระดาษ การทำไหมเทียมตลอดจนไม้ไผ่นำมาทำเชื้อเพลิงได้ ส่วนที่ใช้เป็นอาหารได้แก่ หน่ออ่อนของไม้ไผ่หรือหน่อไม้รับประทานเป็นผักหน่อไม้เป็นผักที่มีมากในฤดูฝน พบในท้องตลาดทุกภาคของเมืองไทย ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหารกันทุกภาค ที่นิยมทำเป็นอาหารกันมากของชาวอีสาน คือ แกงหน่อไม้ใบย่านาง
หน่อไม้รวกเผา 5 หน่อ (300 กรัม)
ใบย่านาง 20 ใบ (115 กรัม)
เห็ดฟางฝ่าครึ่ง ½ ถ้วย (100 กรัม)
ชะอมเด็ดสั้น ½ ถ้วย (50 กรัม)
ฟักทองหั่นชิ้นพอคำ ½ ถ้วย (50 กรัม)
ข้าวโพดข้าวเหนียวฝานเอาแต่เมล็ด ½ ถ้วย (50 กรัม)
แมงลักเด็ดเป็นใบ ½ ถ้วย (50 กรัม)
ตะไคร้ทุบหั่นท่อน 2 ต้น (60 กรัม)
น้ำปลาร้า 3 ช้อนโต๊ะ (48 กรัม)
น้ำ 3–4 ถ้วย (300–400 กรัม)
กระชายทุบ ¼ ถ้วย (10 กรัม)
พริกขี้หนู 10 เม็ด (10 กรัม)
ข้าวเบือ 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
หมายเหตุ ข้าวเบือ คือ ข้าวเหนียวแช่น้ำประมาณ 20 นาทีขึ้นไป แล้วนำมาโขกใช้ละเอียด
สรรพคุณทางยา
ประโยชน์ทางอาหารแกงหน่อไม้ใส่ใบย่านาง รสชาติโดยรวมจะออกไปทางขมร้อน จากการใส่ผักหลายชนิดซึ่งมีทั้งรสร้อน รสขม จืดมัน จึงช่วยในการบำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ขับลม และช่วยเจริญอาหาร
ที่มา: http://www.linethaitravel.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538777142&Ntype=12
ซุปหน่อไม้
หน่อไม้รวกขูดเป็นเส้นฝอย 300 กรัม
ใบย่านาง 20 ใบ (15 กรัม)
น้ำคั้นจากใบย่านาง 2 ถ้วย
น้ำปลาร้า ½ ถ้วย (50 กรัม)
เกลือ ½ ช้อนชา (4 กรัม)
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
มะนาว 2–3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)
ผักชีฝรั่งซอย 2 ต้น (7 กรัม)
ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
ใบสะระแหน่เด็ดเป็นใบ ½ ถ้วย (50 กรัม)
งาขาวคั่ว 1 ช้อนชา (8 กรัม)
พริกป่น 1 ช้อนชา (8 กรัม)
ข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
วิธีทำ