ปฏิทิน

สถิติ

free counters

แผนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

บุญกฐิน


บุญกฐิน

ผ้าที่ใช้สะดึงเป็นกรอบขึงเย็บจีวร เรียกกันว่าผ้ากฐิน มีกำหนดเวลาทำถวายเพียง ๑เดือน คือตั้งแต่แรม ๑ค่ำ เดือน๑๑ ถึงวันเพ็ญ เดือน ๑๒ เพราะมีกำหนดทำในระหว่างเดือน ๑๒ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบุญเดือนสิบสอง
มีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเชตะวันมหาวิหาร ไปไม่ทันวันเข้าพรรษา จึงพักจำพรรษาที่เมืองสาเกต ออกพรรษาแล้วพากันเดินกรำฝนกรำแดด มีจีวรเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน พอไปถึงแล้วก็เข้าเฝ้า พระองค์ทรงเห็นความลำลากของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตให้รับผ้ากฐินได้
ฝ่ายนางวิสาขามหาอุบาสิกา ครั้นทราบพระพุทธประสงค์แล้วก็นำผ้ากฐินไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นางเป็นคนแรกที่ถวายผ้ากฐิน การทำบุญกฐินจึงถือเป็นประเพณีตลอดมาจนทุกวันนี้
พิธีทำ ผู้มีจิตศรัทธาจะถวายกฐิน ณ วัดใดก็ตาม ให้เขียนสลาก(ใบจอง) ติดไว้ผนังโบสถ์บอกชื่อตัว ชื่อสกุล ตำแหน่งและที่อยู่ของตนให้ชัดเจน เพื่อมิให้ผู้อื่นไปจองทับ เพราะในปีหนึ่งวัดจะรับกฐินได้เพียงกองเดียว เมื่อจองแล้วก็จัดหาเครื่องบริขารและบริวารกฐินไว้ บอกญาติพี่น้องให้มาร่วมบุญถึงวันงานก็นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ฟังเทศน์ ตกกลางคืน ก็มีหมอลำเสพงันตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าถวายอาหารบิณฑบาตแล้วแห่กฐินไปทอดที่วัด แห่รอบขวาศาลาโรงธรรม ๓ รอบ แล้วนำกฐินไปรวมไว้ที่ศาลาโรงธรรม พระสงฆ์จะระรับกฐินอยู่ที่นั้น หัวหน้าจะนำไหว้พระรับศีลว่าคำถวายกฐิน แล้วยกผ้ากฐินไปถวาย พระสงฆ์รับแล้วถ้าเป็นผ้าสำเร็จรูปคือไม่ต้องตัดเย็บย้อม พระสงฆ์รับแล้วจะทำการอุปโลกน์ ยกให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้รับ ต่อจากนั้นยกผ้าไปถวาย พระภิกษุจะทำการอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นพระสงฆ์จะนำผ้ากฐินไปในโบสถ์ เพื่อทำการกรานและอนุโมทนากฐิน เป็นอันเสร็จพิธีฝ่ายผู้รับ
แต่ถ้าผ้ากฐินจะต้องตัดเย็บย้อมก่อน ครั้นพระสงฆ์รับแล้วท่านจะอนุโมทนา แล้วไปทำพิธีอุปโลกน์ในโบสถ์ จึงตัดเย็บย้อมจีวร แล้วทำกรานกฐินและอนุโมทนากฐินภายหลัง เป็นอันเสร็จพิธีฝ่ายผู้รับ
เนื่องจากกฐินเป็นพุทธบัญญัติ ผู้ถวายกฐินจึงได้บุญกุศลแรงผู้รับก็ได้อานิสงส์มาก การทำแต่ละอย่างต้องทำให้ถูกต้อง หากทำไม่ถูกต้องแทนที่จะได้บุญกลับเป็นบาปแทน จึงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจเกี่ยวกับบุญกฐินนี้
การจอง กฐินมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ จุลกฐินและมหากฐิน จุลกฐินเป็นกฐินเล็ก (หรือกฐินแล่น) มหากฐินเป็นกฐินใหญ่ จุลกฐิน ทำให้เสร็จในวันเดียวเรื่อแต่การปั่นด้ายทอผ้า เย็บ ย้อมและถวาย ต้องทำให้เสร็จในวันเดียว กฐินชนิดนี้นานๆ จึงจะมีคนทำ มหากฐิน เป็นกฐินที่มีบริขาร บริวารมาก มีเวลาทำมาก มีคนนิยมทำมาก เพราะถือว่า ได้บุญกุศลมาก
ผ้ากฐินต้องทำให้ได้ขนาด สำหรับผ้าสบงให้ยาว ๖ศอก กว่าง๒ ศอก ผ้าจีวรและสังฆาฏิ ยาว ๖ ศอก กว้าง๔ ศอกถ้าผู้รับเล็กให้ลดขนาดลงตามส่วน
ผ้าที่ควรทำเป็นผ้ากฐินต้องเป็น ๑ ผ้าใหม่ ๒ ผ้ากลางเก่ากลางใหม่ ๓ ผ้าเก่า ๔ ผาบังสุกุล ๕ ผ้าตกตามร้านตลาด ส่วนผ้าที่ไม่ควรทำผ้ากฐิน คือ ๑ ผ้ายืมเขามา ๒ ผ้าทำนิมิตได้มา ๓ ผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา ๔ ผ้าเป็นนิสสังคคีย์ ๕ ผ้าที่ลักขโมยเขามาเป็นต้น
บริขาร ๘ เป็นบริขารที่จำเป็นขาดไม่ได้ คือ ๑ บาตร ๒ ผ้าสังฆาฏิ ๓ ผ้าจีวร ๔ผ้าสบง ๕ มีดโกน ๖ เข็ม ๗ ผ้าประคตเอว ๘ ผ้ากรองน้ำ ส่วนบริขารได้แก่เครื่องใช้สอย เช่นผ้าปูนั่ง ผ้าอาบน้ำ ผ้าห่มหนาว เสื่อ หมอน ถ้วย โถ โอ จานเป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีก็ได้ถือว่าไม่ห้าม
ผู้มีศรัทธา จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือเทวดา มารพรหม คนใดก็ได้ ซึ่งมีบริขาร สามารถจะถวายให้ภิกษุได้รับประโยชน์ทางพระวินัยได้ ย่อมเป็นผู้ควรทอดกฐินได้ทั้งสิ้น
ภิกษุผู้จำพรรษาครบ ๓เดือน และมีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๕ รูป ถ้าต่ำกว่าใช้ไม่ได้ แม่จะไปนิมนต์มาจากวัดอื่นก็ไม่ได้ ภิกษุผู้ควรรับผ้าองค์กฐิน ได้แก่พระเถระให้ผู้ใหญ่ในสงฆ์ ๑ เป็นผู้มีจีวรเก่ากว่าเพื่อน ๑ เป็นผู้ฉลาดสามารถที่จะทำกรานกฐินให้ถูกต้องได้๑ ผู้ประกอบด้วยลักษณะ ๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง สมควรให้รับผ้าองค์กฐิน
การทอดกฐิน การถวายกฐินไม่เหมือนถวายทานอย่างอื่น ผู้ถวายจะพอใจในภิกษุรูปใด จะยกถวายให้รูปนั้นไม่ได้ ต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ท่านจะให้ใครท่านจะอุปโลกน์ให้ ถ้าสงฆ์พร้อมกันจึงจะทอดให้ภิกษุองค์นั้นได้

คำอุปโลกน์กฐิน แบบ 2 รูป
รูปที่๑.
ผ้ากฐินทานกับทั้งผ้าอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ เป็นของ.................พร้อมด้วย.....................ผู้ประกอบด้วยศรัทธา อุตสาหะพร้อมเพรียงกันนำมาถวาย แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสในอาวาสนี้
ก็แลผ้ากฐินทานนี้ เป็นของบริสุทธิ์ ดุจเลื่อนลอยมาโดยนภากาศแล้วแลตกลงในที่ประชุมสงฆ์ จะได้จำเพาะเจาะจงลงว่าเป็นของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หามิได้ มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ว่า ให้พระสงฆ์ทั้งปวงยอมอนุญาตให้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อจะทำซึ่งกฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาต และมีคำพระอรรถกถาจารย์ ผู้รู้พระบรมพุทธาธิบายสังวรรณนาไว้ว่า ภิกษุรูปใดประกอบด้วยศีลสุตตาธิคุณ มีสติปัญญาสามารถ รู้ธรรม ๘ประการ มีบุพกิจ เป็นต้น ภิกษุรูปนั้นจึงสมควร เพื่อจะกระทำกฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาตได้
บัดนี้ พระสงฆ์ทั้งปวง จะเห็นสมควรแก่ภิกษุรูปใด จงพร้อมกันยอมอนุญาตให้แก่ภิกษุรูปนั้น เทอญ (ไม่ต้องสาธุ)
รูปที่ ๒.
ผ้ากฐินทาน กับผ้าอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นสมควรแก่....................เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถ เพื่อกระทำกฐินนัตถารกิจให้ถูกต้องตามพระบรมพุทธานุญาตได้ ถ้าพระภิกษุรูปใดเห็นไม่สมควรจึงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ (หยุดนิดนึง) ถ้าเห็นสมควรแล้วไซร้จงให้สัททญัญญาสาธุการะขึ้นให้พร้อมกันเทอญ
(สาธุ)

เมื่อว่าคำอุปโลกน์เสร็จแล้ว จะทำการสวดญัตติต่อพระสงฆ์นั่งให้ได้หัตถบาส วางผ้าไว้ตรงหน้า ภิกษุสองรูปสวดญัตติ
คำสวดกฐิน
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อิทัง สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง อุปปันนัง ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง, สังโฆ อิมัง กะฐินะทุสสัง อายัสสะมะโต (อิตถันนามัสสะ) ทะเทยยะ, กะฐินัง อัตถะริตุง, เอสา ญัตติ,
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อิทัง สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง อุปปันนัง, สังโฆ อิมัง กะฐินะทุสสัง อายัสสะมะโต (อิตถันนามัสสะ), เทติ, กะฐินัง อัตถะริตุง, ยัสสายัสสะมะโต ขะมะติ, อิมัสสะ กะฐินะทุสสัสสะ, อายัสสะมะโต (อิตถันนามัสสะ), ทานัง กะฐินัง อัตถะริตุง, โส ตุณณะหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ, โส ภาเสยยะ
ทินนัง อิทัง สังเฆนะ, กะฐินะทุสสัง อายัสสะมะโต (อิตถันนามัสสะ), กะฐินัง อัตถะริตุง, ขะมะติ สังฆัสสะ ตัสมา ตุณณะหี เอวะเมตัง, ธาระยามิ
ทินนังอิทัง สังเฆนะ, กะฐินะทุสสัง อายัสสะมะโต (อิตถันนามัสสะ), กะฐินัง อัตถะริตุง, ขะมะติ สังฆัสสะ ตัสมา ตุณณะหี เอวะเมตัง, ธาระยามิ
ทินนังอิทัง สังเฆนะ, กะฐินะทุสสัง อายัสสะมะโต (อิตถันนามัสสะ), กะฐินัง อัตถะริตุง, ขะมะติ สังฆัสสะ ตัสมา ตุณณะหี เอวะเมตัง, ธาระยามิ
(ในวงเล็บ อิตถันนามัสสะ ให้ใส่ชื่อผู้ครองกฐินแทน) ถ้าจะเปลี่ยน สมมุติผู้รับฉายาว่า สุวัณโณ ก็เปลี่ยนเป็น สุวัณณัสสะ ภิกขุโน ถ้าผ้ายังมิได้ตัดก็เอาไปตัดแล้วเย็บย้อมให้แห้งแล้วนำมากราน ถ้าเป็นผ้าสำเร็จรูปพอสวดญัตติแล้วก็กรานกฐินต่อไปทีเดียว
เมื่อผ้าพร้อมแล้ว ภิกษุผู้จะรับกฐิน กระทำการถอนผ้าเก่าทั้งหมด แล้วพินทุและอธิฐานผ้าใหม่ทุกตัว จะกรานสบง จีวร หรือสังฆาฏิตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ ให้กรานเพียงตัวเดียว ถ้าเป็นผ้าสำเร็จรูปกรานสังฆาฏิก็ได้ ถ้าเป็นผ้าตัดใหม่ ใช้ตัดผ้าสบง เพราะสบง ตัด เย็บ ย้อมง่ายกว่า เวลากรานก็เอาผ้าสบงกราน คือ ภิกษุผู้ได้รับกฐินหันหน้ามายังสงฆ์ ว่า นะโม ๓ จบ แล้วกรานสบงว่า อิมินา อันตะระวาสเกนะ กะฐินัง อัตถะรามิ ๓ หน เป็นอันเสร็จพิธีกราน ต่อไปว่า คำอนุโมทนา
ภิกษุผู้รับกฐินเป็นผู้นำว่า นะโม ๓ จบ พร้อมกัน เสร็จแล้วผู้รับกฐินหันหน้าลงมายังสงฆ์ กล่าวคำอนุโมทนาว่า อัตถะตัง อาวุโส สังฆัสสะ กะฐินัง ธัมมิโก กะฐินัตถาโร อะนุโมทะถะ ว่า ๓ จบ แล้วพระสงฆ์ว่าคำอนุโมทนาพร้อมกันว่า อัตถะตัง ภันเต สังฆัสสะ กะฐินัง ธัมมิโก, กะฐินัตถาโร อนุโมทามิ ๓ หน เป็นอันเสร็จพิธีเกี่ยวแก่การกรานกฐินเพียงนี้
ภิกษุผู้รับกฐินได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑ เที่ยวไปไม่บอกลาภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ ๒ อยู่ปราศจากไตรจีวรก็ได้ ๓ ฉันอาหารเป็นวงล้อมตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปก็ได้ ๔ เก็บจีวรได้ตามปรารถนา ๕ ลาภที่เกิดขึ้นในวัด ได้แก่ภิกษุที่จำพรรษาในวัด และได้อานิสงส์ทั้ง ๕ ยืดไปถึงเพ็ญเดือน ๔
ส่วนผู้ถวายกฐินก็ได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑ เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย ๒ มีเกียรติฟุ้งไปทั่วสารทิศ ๓ เป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญ ๔ ไม่หลงตาย ๕ ตายแล้วไปสู่สวรรค์ อันตรวาสเกน กฐินัง อัตถรามิ ๓ หน เป็นอันเสร็จ พิธีกราน ต่อไปว่าคำอนุโมทนา
ภิกษุผู้รับกฐินเป็นผู้นำว่า นะโม ๓ จบ พร้อมกัน เสร็จแล้วผู้รับกฐินหันหน้าลงมายังสงฆ์ กล่าวคำอนุโมทนาว่า อัตถตัง อาวุโส สังฆัสสกฐินัง ธัมมิโก กฐินัตถาโร อนุโมทถ ว่า ๓ จบ และพระสงฆ์ว่าคำอนุโมทนาพร้อมกันว่า อัตถตัง ภันเต สังฆัสส กฐินัง ธัมมิโก, กฐินัตถาโร อนุโมทามิ ๓ หน เป็นอันเสร็จพิธีเกี่ยวแก่การกรานกฐินเพียงนี้
ภิกษุผู้รับกฐินได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑ เที่ยวไปไม่บอกลาภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ ๒ อยู่ปราศจากไตรจีวรก็ได้ ๓ ฉันอาหารเป็นวงล้อมตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปก็ได้ ๒ อยู่ปราศจากไตรจีวรก็ได้ ๓ ฉันอาหารเป็นวงล้อมตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปก็ได้ ๔ เก็บจีวรได้ตามปรารถนา ๕ ลาภที่เกิดขึ้นในวัด ได้แก่ภิกษุที่จำพรรษาในวัด และได้อานิสงส์ทั้ง ๕ ลาภที่เกิดขึ้นในวัด ได้แก่ภิกษุที่จำพรรษาในวัด และได้อานิสงส์ทั้ง ๕ ยื่นไปถึงเพ็ญเดือน ๔
ส่วนผู้ถวายกฐินก็ได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑ เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย ๒ มีเกียรติฟุ้งไปในสารทิศ ๓ เป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญ ๔ ไม่หลงตาย ๕ ตายแล้วไปสู่สวรรค์
โบราณแสดงอานิสงส์แห่งการทำดีไว้ว่า ได้อานิสงส์เท่านั้นเท่านี้กัป พึงทราบคำว่ากัป ท่านอุปมาไว้ว่า มีภูเขาลูกหนึ่งสูงและใหญ่ ๑ โยชน์ ร้อยปีเทพเจ้านำเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดมากวาด จนภูเขาลูกนั้นราบเรียบเสมอพื้นดิน เรียกว่ากัปหนึ่ง อีกอุปมาหนึ่ง มีเมืองๆหนึ่งกว้างยาว ๔ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ร้อยปีเทพเจ้านำเอาเมล็ดผักกาดทิ้งลง๑ เมล็ด จนเต็มเป็นกัปหนึ่ง
ที่มา:

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ประเพณี วัฒนธรรม ภาคอีสาน


อาตมาได้มีโอกาสมาบวชที่วัดในแถบภาคอีสาน เพราะโยมป้าของอาตมาเป็นคนอีสาน กว่าอาตมาจะมาบวชได้ ก็มีข้อแม้หลายอย่างเหลือเกิน เล่นเอาโยมป้าปวดหัวเลย อาตมาเริ่มบวชเมื่อ 5 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมา ไม่นานนี่เอง แต่อาตมาได้มีโอกาสสัมผัส ได้เห็นความเป็นมา เห็นความแตกต่าง ทั้งทางวัฒนธรรม และสภาพสังคม เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากสำหรับคนกรุงเทพคนหนึ่ง อาตมาชอบถ่ายรูป จึงถ่ายรูปเก็บไว้ทุกช๊อตเพราะทุกสิ่งที่อาตมาเจอ หาไม่ได้จากสังคมในกรุงเทพฯ อาตมาไม่เคยเห็นความผูกพันระหว่างหมู่บ้าน วัด โรงเรียน ความสัมพันธ์แบบนี้มันมีความเหนียวแน่นและกลมเกลียวกันมากๆ ชาวบ้านที่นี่เคารพพระมาก แม้แต่เงาที่ทอดลงพื้นเค้าก็ยังไม่เดินเหยียบ พระเดินผ่านก็จะหยุดเดิน หยุดคุย ผู้หญิงก็จะนั่งลงพนมมือ มีอยู่ครั้งนึง อาตมาอยากจะได้ผัก เลยเดินตลาดนัดวันอาทิตย์ที่หน้าวัด พอเดินไปไหนคนเดินซื้อของหยุดนั่งลงกันเป็นคลื่นเลย เลยบอกกับตัวเองว่าไม่เดินตลาดแล้วสงสารโยมเค้ากลัวจะไม่ได้ซื้อของเพราะมัวแต่นั่ง นึกแล้วขำ แต่ถ้าเป็นกรุงเทพ พระต้องกระโดดหลบโยมจนจีวรแทบจะปลิวเลย สภาวะจิตใจการวางตัวเค้าสูงกว่าคนในกรุงเทพฯ มากๆ ทั้งๆที่การศึกษาคนส่วนใหญ่ไม่สูงแค่ป.4 เป็นอะไรที่น่าค้นคว้ามากว่าเกิดจากสาเหตุใด ถ้าเอาความบริสุทธิ์ทางสภาพจิตใจมาแลกเป็นวุฒิการศึกษาได้ อาตมาให้ ปริญญาเอกเลย สิ่งเหล่านี้ก็อาจเป็นข้อสรุปได้ว่า ระดับการศึกษาที่สูง ไม่ช่วยให้สามารถยกระดับจิตใจของคนให้สูงตามได้ ใช่หรือไม่ พออาตมาเริ่มศึกษาประเพณีทางอีสานก็พบอะไรที่น่าสนใจมากมาย ก็พอเริ่มจะเข้าใจว่าเหตุเหล่านี้แหละเป็นที่มาของ ความบริสุทธิ์ทางจิต ความซื่อสัตย์ การปฏิบัติตัวและการวางตัวฯลฯ การปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็ก โดย ปู่ ย่า ตา ยาย ความอบอุ่นทางจิตใจความอบอ่นทางครอบครัวส่วนใหญ่ที่นี่มีพร้อมแทบจะเต็มร้อยเลย แต่คนส่วนมากยังยากจนอยู่เพราะมีอาชีพหลักทำนา จะได้เงินก็แค่ปีละครั้ง บ้างก็หาอาชีพเสริมทำด้วยก็ได้เงินบ้างนิดหน่อย เท่าที่สอบถามได้เงินดีมั้ยทำนาเนี่ย เค้าก็ตอบว่า ค่าแรง ค่าข้าวเลี้ยงคนที่มาช่วยทำนา ค่าปุ๋ย ค่ายา แทบไม่คุ้มกับเงินที่ขายข้าวเลย เมื่อรายได้ไม่พอเค้าก็หาอาชีพเสริมต่างๆ ทำจากภูมิปัญญาเค้าเอง ขายได้ก็มีคนมารับเองบ้าง ทำขายตามศูนย์ส่งเสริมการตลาดต่างๆ ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะคนผ่านไปมาน้อย นี่เป็นส่วนหนึ่งของสภาพสังคมในชุมชน..
ที่มา:

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-7

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-6

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-5

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-4

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-3

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-2

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ซี่รี่ย์F4เกาหลี1-1

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

พระธาตุแก่นนคร


พระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้น,ขอนแก่น
พระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้น

ภายในวัดหนองแวง (พระอารามหลวง) มีพระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้น เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐถือปูน เรือนยอดทรงเจดีย์ (จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น) จัดสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น
ความสูงขององค์พระธาตุฯ 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ 9 ชั้น คือ.....
ชั้นที่ 1 เป็นหอประชุมมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่บนบุษบกตรงกลางและพระประธาน 3 องค์อยู่ตรงกลาง บานประตู หน้าต่าง แกะสลักภาพนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น โดยเฉพาะบานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติ และมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น
ชั้นที่ 2 เป็นหอพัก บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องสังศิลป์ชัย
ชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องนางผมหอม
ชั้นที่ 4 เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าบานประตูหน้าต่างภาพพระประจำวันเกิด เทพประจำทิศและตัวพึ่ง-ตัวเสวย
ชั้นที่ 5 เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 6 บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธชาดก
ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่องเวสสันดร
ชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานเรื่องพระเตย์มีใบ้
ชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม เป็นที่รวบรวมพระธรรม คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนามีพระไตรปิฏก ฯลฯ บานประตูแกะสลักรูปพรหม 16 ชั้น
ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า บานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติ รูปพรหม 16 ชั้น และสามารถ
แหล่งที่มา:




ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน1

อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราสามารถทราบข่าวสารเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตได้จากหนังสือพิมพ์ วารสาร รายการวิทยุ และจากแหล่งข่าวสารมากมายทั่งทุกมุมโลก ทุกวันนี้มีหนังสือเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตให้เราทำความรู้จักและศึกษาเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็ยังลงบทความเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต จึงทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของอินเตอร์เน็ตและใช้งานจากอินเตอร์เน็ตมากขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการเปิดสอนเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาโทบนอินเตอร์เน็ต จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีการจัดการเรียนการสอนเป็นบางรายวิชา เช่น การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเสมือนของนิสิตปริญญาโทโสตทัศนศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น
ทุกวันนี้มีการสร้างโปรแกรมประยุกต์ใช้งานบนอินเตอร์เน็ตมากมาย มีสถานีให้บริการเว็บ เกิดขึ้นทั่วโลก ในแต่ละวันมีสถานีใหม่ๆ เกิดขึ้นให้เราเข้าไปใช้งาน จำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนต่างพยายามขวนขวายหาทางให้ตนเองมีหมายเลขบัญชีบนอินเตอร์เน็ต (Internet Account) หรือเป็นสาขาย่อย (Node) ของศูนย์บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider, ISP) เพื่อบริการแก่เจ้าหน้าที่ พนักงานใหม่ในหน่วยงานของตน

อันตรายจากอินเตอร์เน็ต
ประเทศไทยมีการนำระบบอินเตอร์มาใช้หลายปี ส่วนใหญ่เป็นการใช้งานภายในหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา ต่อมามีการนำเอามาใช้ในเชิงธุรกิจสำหรับบุคคลทั่วไป ในปี พ.ศ. 2537 แต่ไม่ได้รับความนิยม สำหรับปี พ.ศ. 2539 แตกต่างกันออกไป ผลจากการที่มีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีการนำภาพดารามาตกแต่งเป็นภาพโป๊เปลือย แล้วนำไปแจกจ่ายบนอินเตอร์เน็ต กระแสความสนใจเกิดขึ้น ผู้คนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจกับอินเตอร์มากขึ้นทุกที
อันตรายของอินเตอร์เน็ตที่พบเห็นได้เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นการใช้อินเตอร์เน็ต ผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ และใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อกล่าวหาและโจมตีคู่แข่ง เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถกระจายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วแต่อย่างไรอันตรายที่เกิดจากอินเตอร์เน็ตก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เราจะได้รับ

World Wide Web, Web Pages, Web Site และ HTML
ในการบริการอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น E – mail, FTP เป็นบริการที่ได้กว้างขวางและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริการ www จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เข้าไปดูเอกสารซึ่งจะมีทั้งมีทั้งภาพและเสียง หรือภาพยนตร์ประกอบด้วยได้
เอกสารที่เราเปิดดูใน World Wide Web เรียกว่า เว็บเพจ (Web Pages) เรียกสั้นๆว่า เว็บ (Web) สร้างขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกชื่อว่า HTML (HyperText markup Language) ภาษา HTML จะกำหนดรูปแบบหน้าตาของเอกสารเว็บที่ปรากฏบนหน้าจอ และเชื่อมต่อกับเว็บเพจกับข้อมูลอื่นๆเอกสารแต่ละหน้ามีการเชื่อมต่อถึงกันในลักษณะที่เราสามารถเรียกดูเอกสารหนึ่งจากเอกสารฉบับอื่นได้ โดยในเว็บเพจจะมี Link เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เว็บเพจแตกต่างจากเอกสารทั่วไป เพราะผู้อ่านสามารถโต้ตอบกับข้อมูลได้ โดยการคลิกเมาส์ เพื่อเปิดดูข้อมูลในส่วนที่ต้องการ บางคนอาจคิดว่าเว็บเพจมีส่วนคล้ายหน้าหนังสือ แต่ที่จริงแล้วเว็บเพจมีความแตกต่างจากหนังสือโดยทั่วไป เพราะเว็บเพจเป็นสื่อที่สามารถโต้ตอบได้การใช้ Link ทำให้เว็บเพจ แตกต่างจากสิ่งพิมพ์อื่นๆ เพราะผู้ใช้สามารถเลือกดูเฉพาะข้อมูลที่ต้องการ โดยไม่ต้องสนใจข้อมูลมหาศาลในอินเตอร์เน็ต ข้อมูลในเว็บมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เช่น เว็บตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนั้นเว็บยังสามารถแสดงข้อมูลได้มากกว่าตัวอักษรหรือภาพเว็บเพจสามารถแสดงเสียง ภาพเคลื่อนไหว หรือภาพยนตร์ได้แต่ละเว็บไซต์เมื่อพิจารณาดูก็คล้ายๆ หนังสือหนึ่งเล่มซึ่งประกอบด้วยหน้าหนังสือจำนวนมาก หน้าปกหนังสือมีความสำคัญมาก เพราะจะต้องสื่อเนื้อหาหลักของหนังสือในรูปแบบที่สะดุดตา และจูงใจให้คนเปิดอ่านถ้าเปรียบเว็บไซต์เหมือนหนังสือที่ประกอบด้วยเว็บเพจ จำนวนมากโฮมเพจ คือ เว็บเพจหน้าแรกที่มีหน้าที่คล้ายปกหนังสือเมื่อเปิดดูโฮมเพจจะพบคำแนะนำการใช้งาน สรุปสิ่งที่น่าสนใจในเว็บไซต์ไปจนถึงหัวข้อที่เชื่อมต่อไปยังเว็บเพจอื่นๆ

URL, Web Broser
การเปิดดูเว็บเพจ จะต้องมีการระบุตำแหน่งที่เก็บเว็บเพจนั้นในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า URL หรือ Uniform Resource Locatution ส่วนสำคัญของ URL มีดังนี้
โปรโตคอล จะแจ้งให้บราวเซอร์ทราบว่าต้องจัดการกับข้อมูลที่พบอย่างไร สำหรับเว็บเพจโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้มีชื่อเรียกว่า HTTP (HyperText Transfer Protocol)
ชื่อเซิฟเวอร์ จะระบุชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บเพจบางครั้งส่วนนี้จะถูกเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name)เซิฟเวอร์ทุกเครื่องจะมีโดเมนเนมเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ชื่อเซิฟเวอร์อาจระบุแทนด้วยตัวเลขเฉพาะของมัน เช่น 195.121.237.1 เป็นต้น
การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมเป็นเครือข่ายในระบบอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องดูแลเครือข่าย (Server) และเครื่องลูกข่าย (Client) จึงเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับอินเตอร์เน็ตนี้ว่า Client Server Network
โปรแกรมสำหรับเข้า www เรียกว่า บราวเซอร์ (Web Broser) ปัจจุบันมีบราวเซอร์หลายรายที่ใช้สำหรับเปิดดูเว็บเพจถึงแม้แต่ละตัวมีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน เมื่อเปิดบราวเวอร์เพื่อดูเว็บเพจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้จะทำหน้าที่เป็นลูกข่าย (Clint) ติดต่อกับเครื่องที่เก็บข้อมูลเว็บเพจที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องดูแลเครือข่าย (Server)
โปรแกรมบราวเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม ได้แก่ - Internet Explorer ของบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ของตระกูลไมโครซอฟท์ เช่น Office 97 ได้อีกด้วย - Netscape Navigator เป็นบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งที่มีผู้ใช้จำนวนมาก เป็นของบริษัท Netscape Communication ซึ่งบราวเซอร์ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติคล้ายกัน เราสามารถ download โปรแกรมทั้งสอง (รุ่นทดลองใช้) ได้จากเว็บไซต์ของบริษัททั้งสอง
เว็บไซต์ (Website) เป็นแหล่งที่รวมของเว็บเพจทั้งหมดที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันของหน่วยงาน หรือองค์กรหนึ่งๆ เมื่อใดที่ใช้โปรแกรมเปิดดูเว็บ (Web Browser Program) บราวเซอร์จะทำการติดต่อกับเว็บไซต์ที่เก็บเว็บเพจนั้น เพื่อทำการโอนย้ายเว็บที่ต้องการมายังเครื่องของผู้ใช้
Web Server คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บเว็บไซต์ที่ทุกคนสามารถใช้บราวเซอร์ติดต่อเพื่อขอดูเว็บเพจได้ เว็บเซิฟเวอร์ส่วนใหญ่จะติดต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาโดยใช้สายส่งความเร็วสูง เพื่อบริการผู้ที่เชื่อมต่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

i^lupF4


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

แทรกรูปภาพ


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

อินเตอร์เน็ต

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

รักใสใสหัวใจ 4 ดวง

น่าร้ากกกทุกคน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

GuestBook